นางพจนีย์ กล่าวว่า ตนรู้จักกับนายองอาจมาแล้วหลายปี เนื่องจากนายองอาจเคย ขับรถให้กับคุณพ่อที่กรมสรรพสามิต ต่อมาหลังเกษียณอายุราชการ ทราบว่านายองอาจนำที่ดิน ซึ่งอยู่ที่ จ.นครสวรรค์ ไปขาย แต่ตนไม่รู้ว่าได้เงินจำนวนเท่าไหร่ ก่อนที่นายองอาจจะเดินทางมาอยู่ที่วัดอโศการาม โดยบอกว่าจะมาปฏิบัติธรรมในช่วงบันปลายชีวิต ทั้งนี้ หลังจากที่นายองค์อาจมาอยู่ที่วัด ตนก็เดินทางมาเยี่ยม ขณะเดียวกันระหว่างมาเยี่ยมนายองอาจก็เคยเล่า ให้ฟังว่าเงินที่ได้จากการขายที่ดิน ได้มอบให้วัดหลายล้านบาท นายองอาจยังเคยบอกอีกว่า ถ้าเป็นอะไรไปเงินที่เหลือรวมทั้งทรัพย์สินที่มีก็จะบริจาคให้วัดทั้งหมด เนื่องจากความชราและภาระทางครอบครัว จึงไม่มีเวลามาเยี่ยมนายองอาจอีก จนกระทั่งมาทราบข่าวว่านายองอาจเสียชีวิต จึงเดินทางไปที่โรงพัก เพื่อสอบถามรายละเอียดเรื่องศพหากไม่มีใครจัดการตนก็จะเป็นธุระนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลให้ โดยไม่ได้มาเพื่อหวังผลอะไร
ด้านพระสุพล พลสัมปันโน ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยง กล่าวว่า ผู้ตายเดินทางขออาศัยมาอยู่ที่วัดอโศการาม ตั้งแต่ประมาณ ปี 2544 ซึ่งการดำเนินชีวิตแต่ละวันนั้น ผู้ตายก็จะปั่นจักรยานออกหาของเก่ามาสะสมไว้โดยไม่ได้นำไปขาย และตระเวนทำบุญ ใส่บาตร เนื่องจากนายองอาจเป็นคนชอบทำบุญ กระทั้งปี 2554 นายองอาจเข้ามาปรึกษากับตนว่า มีเก็บอยู่ 1.4 ล้านบาท ไม่รู้จะทำอะไร ตนจึงได้แนะนำให้นำไปบริจาคทำบุญ โดยการทำพินัยกรรมเอาไว้ ก่อนที่ตนจะหาทนายมาให้ ซึ่งระหว่างทำพินัยกรรม มีตน และพระในลูกวัดอโศการามอีก 1 รูป เป็นพยานลงลายมือชื่อไว้ และทำต่อหน้าหลวงพ่อทอง จันฺทสิริ อดีตเจ้าอาวาท ซึ่งมรณภาพไปแล้ว เมื่อเดือนเมษายน ปี 59
ซึ่งรายละเอียดของพินัยกรรมนั้น ทางผู้ตายแบ่งเงินไว้เป็นสองส่วน โดยส่วนแรกมอบให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ 7 แสนบาท และทางวัดอโศการามอีก 7 แสนบาท ซึ่งเงินทั้งหมดถอนออกมาจากบัญชีธนาคารออมสิน ก่อนจะนำไปฝาก ที่ธนาคารธกส. พระสุรพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ผู้ตายยังมีโฉนดที่ดินเนื้อที่ 200 ตารางวา อีก 1 แปลง ซึ่งอยู่ที่อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ผู้ตายโอนให้กับตนไว้เมื่อปี 2556 แต่เนื่องจากตนเป็นพระสงฆ์จึงไม่ สามารถทำนิติกรรมได้ จึงต้องโอนไว้ให้กับลูกศิษย์ที่มักคุ้นกันเป็นคนรับ แทนจนกระทั่งนายองอาจมาเสียชีวิต
ร.ต.อ.สหัสพล พุ่มอิ่ม เจ้าของคดี กล่าวว่า จากการตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด พบทะเบียนสมรสของผู้ตายอยู่ในบ้านพัก โดยระบุชื่อนางเพ็ญศรี บัวรอด ซึ่งพักอยู่บ้านเลขที่ 164 หมู่ 9 ต.เมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธานี พบว่ายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางพนักงานสอบสวน จะติดต่อให้มาเดินทางมาให้ปากคำและรับศพไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนาต่อไป
ส่วนในเรื่องมรดกของผู้ตายทราบว่า ผู้ตายทำพินัยกรรมเอาไว้ แต่ต้องรอทางทนายซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก เปิดอ่านก่อน ซึ่งหากตรวจสอบแล้วว่าพินัยกรรม เป็นของจริงที่ผู้ตายได้ทำไว้ มรดกทั้งหมดก็จะ ถูกมอบให้กับผู้มีสิทธิตามที่เขียนเอาไว้ในพินัยกรรม ทั้งนี้ ได้ตรวจสอบบัญชีธนาคารออมสิน ของนายองอาจพบว่ามีการถอนเงินออกไป จำนวน 1.4 ล้านจริง แต่ยังไม่ทราบว่าเงินทั้งหมด ได้นำไปฝากเข้าบัญชีใหม่ของธนาคารใด รวมทั้งจะประสานสำนักงานกรมที่ดินช่วยตรวจสอบ ว่าสำเนาโฉนดที่ดินที่พบในที่พักของผู้ตายนั้นได้ถูกโอนให้ใครไปแล้วหรือไม่ ซึ่งจะต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น