วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แข่งจับปูดำ…โดนปูหนีบเลือดอาบ

วันที่ 13 ก.พ.2560  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจัดงานภายในหมู่บ้านชุมชน หากไม่มีการนำการละเล่นพื้นบ้าน และ การแข่งขันมาลงภายในงานก็ดูเหมือนจะทำให้งานกร่อย ขาดสีสันไปได้ เหมือนอย่างงาน มหกรรมวิถีตันหยง ครั้งที่ 6 และวิ่งมหัศจรรย์สันหลังมังกร ครั้งที่ 5 ที่ ต.ตันหยงโป อ.เมือง จ.สตูล ได้มีการบรรจุการแข่งขันจับปูดำ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิถีตันหยง ของคนชุมชนแห่งนี้มาไว้ในงาน สร้างสีสัน ความสนุกสนาน และการลุ้นว่าปูดำ ซึ่งมีก้ามโต ก้ามใหญ่จะหนีบหรือไม่ ทันทีที่การแข่งขันแต่ละรุ่นเริ่มขึ้น จากทีมรุ่นผู้หญิงทั่วไป อายุระหว่าง 13 – 17 ปี หลังฟังกฎกติกาต่างเข้าจับปูดำกันชนิดไม่หวั่น แม้จะเปรอะเปื้อนโคลนที่ถูกเนรมิตเป็นที่อยู่ของปูดำ ต่างก็ตั้งท่าจับกันด้วยความทะมัดทะแมง โดยกติกาหากจับปูดำได้แล้วต้องออกมาทำการมัดด้วยเชือกฟาง เก็บก้ามปูให้เรียบร้อย นอกจากคณะกรรมการจะให้คะแนนจำนวนปูแล้ว ความเรียบร้อยในการมัดปู น้ำหนักปู ก็เป็นคะแนนด้วย เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 นาทีของการแข่งขันรอบละ 10 นาที รุ่นผู้หญิงทั่วไปก็โดนดี เมื่อเจ้าปูดำแผลงฤทธิ์พลิกตัวหันมาหนีบนิ้วสาวน้อย เลือดอาบต้องออกจากการแข่งขันกลางคัน
นายซาฟีอี หีมสุวรรณ์ หนึ่งในคณะกรรมการการแข่งขัน ครั้งนี้บอกว่า การจะจับปูดำ ต้องใช้ความระมัดระวังให้ดี เนื่องจากปูดำมีพละกำลังที่แข็งแรงกว่าปูม้า การจะเข้าจับปูต้องจับทางด้านหลังของปู และต้องกดปูให้แน่นจับก้ามปูมัดรวมกันก่อนจะยกขึ้นมาวางมัดเชือก ไม่อย่างนั้น ปูจะใช้ความเร็วในการพลิกตัวเข้ามาหนีบศัตรูที่พยามเข้ามาทำร้ายเขาได้
 การแข่งขันจับปูดำครั้งนี้ มีด้วยกัน 4 รุ่น คือ รุ่นไม่เกิน 15 ปี , รุ่นไม่เกิน 16-35 ปี , รุ่น 36 ปีขึ้นไป , และรุ่นหญิงทั่วไป ลองมาดูรุ่นเล็กน้องหนูครั้งนี้อายุอยู่ที่ 10 ขวบ ป.4 และ ป.6 กันบ้าง มีความชำนาญการในการจับปูดำไม่แพ้ผู้ใหญ่เลย โดยเฉพาะน้องคุณากร ม๊ะสมั่น อายุ 10 ขวบ จากโรงเรียนบ้านตันหยงโป โชว์ลีลาในการจับปูดำ ชนิดกองเชียร์ลุ้นว่าน้องจะจับได้กี่ตัว ในเวลา 10 นาทีที่คณะกรรมการกำหนด ผลปรากฏกว่า 10 นาทีน้องคุณากร จับปูดำ ที่อยู่ในบ่อจำลอง ได้มากถึง 8 ตัว พร้อมทั้งการมัดปูเยอะที่สุดในการแข่งขัน น้องได้เล่าหลังเสร็จการแข่งขันว่า ได้จับปูดำมาตั้งแต่อยู่ ป.1 ช่วยครอบครัวหารายได้ เคยถูกปูหนีบมา 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่ถูกอีกเลย
การแข่งขันครั้งนี้ ถือเป็นความสนุกสนานของการนำอาชีพที่มีอยู่ในชุมชนมาจัดการแข่งขัน ตามความถนัด สร้างความสนุกสนาน ความสามัคคีในหมู่บ้าน และสะท้อนวิถีชีวิตของชาวบ้านตันหยงโป ที่อยู่คู่กับธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร สำหรับรางวัลที่ 1 ของการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นพัดลมขนาด 16 นิ้ว รางวัลที่ 2 พัดลมขนาด 14 นิ้ว และที่ 3 รางวัล พัดลมขนาด 12 นิ้ว ลดลั่นกันไป
ที่มา>>>ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ดับแล้ว! ไหม้เซ็นทรัลเอ็มบาสซี-เร่งเคลียร์ตึก คาดไฟฟ้าลัดวงจร

เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 9 ก.พ. พ.ต.ต.สมพงษ์ บัวหอม สว.(สอบสวน) สน.ลุมพินี รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. รุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ก่อนประสานรถน้ำจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานครกว่า 10 คัน
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูง 36 ชั้น พบกำลังลุกโชนและพวยพุ่งโหมกระหน่ำกองเศษไม้อัด ก่อนลุกลามไปยังฉนวนกันความร้อนบริเวณชั้น 26 ซึ่งเป็นห้องว่าง ใช้เก็บอุปกรณ์ตกแต่งต่อเติม เจ้าหน้าที่ต้องเร่งระดมฉีดน้ำสกัด ใช้เวลา 20 นาทีเพลิงจึงสงบ ไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าสาเหตุเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร หลังจากนี้จะประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่ตรวจสอบ เพื่อสรุปหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ตายแล้วเจ้านาเดีย! จระเข้ยักษ์ 5 เมตรแห่งเมืองคอน คาดช้ำในตอนย้ายกรง ถูกชอร์ตไฟฟ้า

วันที่ 9 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “เจ้านาเดีย” จระเข้ยักษ์ยาว 5 เมตร สวนสัตว์ทุ่งท่าลาด อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้เสียชีวิตแล้ว โดยสาเหตุเบื้องต้นนั้นพบว่า อาจจะเกิดจากความบอบช้ำในช่วงที่มีการจับและ ย้ายกรงหลายครั้งด้วยวิธีการชอร์ตด้วยไฟฟ้าให้สลบก่อนที่จะใช้เครนยก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้บอบช้ำภายในทำให้เสียชีวิต แต่เจ้าหน้าที่ได้นำไปฝังภายในทุ่งท่าลาดโดยปิดข่าวเงียบ ไม่มีการแจ้งให้คนทราบแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า เจ้านาเดีย ได้หลุดออกจากกรงเมื่อช่วงน้ำท่วมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จนเจ้าหน้าที่ออกค้นหานานกว่า 5 วัน และไปพบอยู่ในคอกกวาง ซึ่งหลังน้ำลดเจ้าหน้าที่ได้นำไปอยู่ในกรงเสือเพราะกรงขังแข็งแรงกว่า
ที่มา>>>ข่าวสด

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ผู้การทางหลวง สั่งเด้ง “ด.ต.” เซ่นคลิปฉาว “ขอฟักทอง-แถมได้แบงก์ 100” จ่อสอบคนให้ด้วย

หลังมีการแชร์คลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกรถปิกอัพคันหนึ่งซึ่งกำลังขนฟักทองไปขาย พร้อมกับขอฟักทองและมีการยื่นเงินให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 100 บาท ก่อนที่รถคันดังกล่าวจะขับออกไป
 ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.พ. พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผบก.ทล. กล่าวว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวเป็นตำรวจยศ ด.ต. สังกัดทางหลวง 1 กองกับการ 5 ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง และทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เบื้องต้นสั่งให้ตำรวจในคลิปมาช่วยราชการที่บก.ทล.แล้ว สำหรับเรื่องดังกล่าวถ้าเป็นการพูดเล่นเชิงเรียกรับสินบน ถือว่ามีความผิดทางวินัยและอาญา โดยจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องเชิญคนในคลิปมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ว่าประสงค์อะไร เพราะการที่เจ้าหน้าที่เรียกให้หยุดตรวจนั้น ถือว่ามีความผิดแน่นอน
ที่มา>>>ข่าวสด

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

‘ศานิตย์’เผยเซลส์แมนกำยาไอซ์ไว้ในมือแน่น! ตอนที่สลบก่อนไปสิ้นใจที่ศิริราช

จากกรณีเจ้าหน้าที่พบศพนายรัติภูมิ พิมใจใส หรือเบิร์ด อายุ 34 ปี เซลส์แมนหนุ่มขายรถยนต์หน้าตาดี หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.2559 โดยภรรยาเข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ธรรมศาลา เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2560 โดยนายรัติภูมิได้โทรหาผู้จัดการที่ทำงาน เพื่อขอความช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมส่งโลเคชั่นบริเวณ ซอยบรมราชชนนี 78 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. ก่อนจะขาดการติดต่อไป
โดยเจ้าหน้าที่พบศพนายรัติภูมิอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ตามที่เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยให้เบาะแสกับตำรวจชุดคลี่คลายคดี ว่าได้นำตัวชายวิกลจริตซึ่งถูกพบนอนสลบบริเวณตอม่อ 147 เกาะกลางถนนบรมราชชนนีฝั่งขาออก แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน โดยคาดว่าจะเป็นนายรัติภูมิ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรยจเข้าตรวจสอบแล้วปรากฎว่าใช่นายรัติภูมิจริงๆ โดยที่แขนมีรอยสักเป็นรูปดาวตรงกับคำให้การของครอบครัว โดยจากประวัติรับผู้ป่วยของร.พ.ศิริราช ระบุว่าเมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 20 ธ.ค.59 ได้รับบุคคลนิรนามดังกล่าวจริง โดยเบื้องต้นพบมีอาการหมดสติและนอนพักรักษาตัวอยู่ 10 วัน ก่อนจะเสียชีวิตลงในวันที่ 30 ธ.ค.59 เวลา 08.30 น.
ต่อมาเวลา 21.00 น. พล.ต.ท.ศานิตย์ มหาถาวร ผบช.น. เปิดเผยว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบศพชายคนดังกล่าวแล้วเชื่อได้ว่าน่าจะใช่ผู้สูญหาย แต่ยังไม่การตรวจสอบทางกายภาพเท่านั้น ซึ่งเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆก็ตรงกับภาพจากกล้องวงจรปิดที่ตรวจสอบพบนายรัติภูมิรวมถึงรอยสักรูปดาว อย่างไรก็ตามต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ทราบจาการตรวจดีเอ็นเอจากพ่อและแม่เพื่อยืนยันความชัดเจนอีกครั้ง
เมื่อถามถึงการขยายผลยาเสพติดนั้น พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่ขอพูดถึงรายละเอียดดังกล่าว เนื่องจากทางเจ้าหน้าตำรวจต้องดำเนินการตรวจสอบก่อน แต่ก็มีข้อมูลว่าระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2559 ที่ผ่านมานั้นได้มีการกำยาไอซ์จำนวนประมาณ 1 กรัมมาด้วย นอกจากนี้ยังต้องให้ทางโรงพยาบาลเป็นผู้ทำการพิสูจน์ทราบว่า สาเหตุการเสียชีวิตน่าจะเกิดจากสาเหตุใด มีลักษณะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันหรือไม่ เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากสารเสพติดอย่างไร ทั้งนี้คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะทราบผลความชัดเจนในการตรวจสอบรายละเอียดดังกล่าว
ที่มา>>>ข่าวสด

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

มีลูกนักการเมือง โยงด้วย เค้น”เบนซ์”อีกรอบ จ่อหมายเรียกดารา-ไฮโซ ปส.-ป.ป.ส.-ปปง.นัดถก ขยายยึดทรัพย์”ไซซะนะ”

“ปส.-ป.ป.ส.-ปปง.” ร่วมถกปม “เบนซ์” ยืมเงิน 6 ล้านมาซื้อลัมโบร์กินี รวมถึงประเด็นที่ยังสงสัย เหตุนำหลักฐานมาแสดงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เคาะต้องเรียกเบนซ์ สอบซ้ำ เชิญแพทมาสอบปากคำด้วยหรือไม่ รองผบช.ปส.ขออุบออกหมายเรียกดารา-ไฮโซโยง “ไซซะนะ” เร่งสืบสวนมีชื่อลูกชายอดีตนักการเมืองดังเกี่ยวข้องด้วย ชี้หากมีหลักฐานไปถึงจะดำเนินการทันที-ไม่ละเว้น เผยผลตรวจค้น 39 เป้าหมาย ออกหมายจับ 9 แต่จับได้ 3 เตรียมหารืออายัด-ยึดทรัพย์แก๊งไซซะนะด้วย
จากกรณีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นร้านเเอเรีย 51 ซอยอินทามระ 51 กทม. ที่มีนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง สามีดาราสาว “แพท ณปภา” เป็นเจ้าของ หลังสืบพบเชื่อมโยง “ไซซะนะ” พ่อค้ายาชาวลาว ก่อนอายัดรถหรูลัมโบร์กินีและบิ๊กไบก์มาตรวจสอบ จากนั้นนายเบนซ์เข้าชี้แจงกับตำรวจที่บช.ปส. โดยปฏิเสธไม่รู้จักกับไซซะนะ แต่รับรู้จักกับนายบอย เพื่อนและเอเยนต์ยา เพราะชอบเรื่องรถเหมือนกัน รวมทั้งยังยืมเงินนายบอย 6 ล้านบาท เพื่อซื้อดาวน์รถลัมโบร์กินี ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังมีข้อสงสัยเรื่องเงินที่เบนซ์ยืมจากนายบอย จึงเร่งตรวจสอบ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
สำหรับความคืบหน้า เมื่อวันที่ 5 ก.พ. พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผบช.ปส. เผยว่า ในวันที่ 6 ก.พ. เวลา 10.00 น. จะมีการประชุม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ตำรวจบช.ปส. เจ้าหน้าที่ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ปปง. โดยจะพูดคุยกันในหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือประเด็นของนายเบนซ์ที่ยืมเงินจากนายบอยมา 6 ล้านบาท รวมถึงประเด็นอื่นที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังสงสัย เนื่องจากในวันที่เบนซ์เข้ามาพบ มีหลักฐานมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหลังจากได้ข้อสรุปในที่ประชุมจะมีการเรียกนายเบนซ์มาให้ข้อมูลกับตำรวจอีกครั้ง
พล.ต.ต.พรชัยกล่าวอีกว่า ส่วนการออกหมายเรียกดาราหรือกลุ่มไฮโซที่อาจเกี่ยวข้องกับไซซะนะมาสอบสวนนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ต้องรอข้อสรุปจากที่ประชุมในวันที่ 6 ก.พ.เช่นเดียวกัน สำหรับกระแสข่าวที่ระบุมีลูกชายอดีตนักการเมืองชื่อดังมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ด้วยนั้น ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนและรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน ซึ่งจะนำเข้าที่ประชุม 3 ฝ่ายด้วย เพื่อขอความเห็นในการดำเนินการ หากมีหลักฐานไปถึงก็จะดำเนินการตามขั้นตอนทันทีโดยไม่ละเว้น
 พล.ต.ต.พรชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จะนำพฤติการณ์ของเครือข่ายและผลการปฏิบัติงานในช่วงที่ผ่านมาเข้าหารือด้วย ทั้งการเข้าตรวจค้น 39 เป้าหมาย 41 จุดตรวจค้น รวมทั้งการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา 9 หมายจับ ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่จับกุมได้ 3 รายเท่านั้น อีกทั้งในการประชุมจะพูดคุยถึงหลักฐานที่อายัดไว้ โดยจะนำมาตรวจสอบว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไรกับขบวนการนี้ หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจะเสนอให้สำนักงานป.ป.ส. ออกคำสั่งอายัดและให้ปปง.ดำเนินการยึดทรัพย์
“การทำงานช่วงที่ผ่านมามีอุปสรรคในเรื่องการตรวจสอบ เพราะหลักฐานและทรัพย์สินมีจำนวนมาก ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานและยังตรงกับในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ จึงทำให้การทำงานต่างๆ ต้องรอที่ประชุมในวันที่ 6 ก.พ.” พล.ต.ต.พรชัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม 3 ฝ่าย ทั้งตำรวจบช.ปส. เจ้าหน้าที่ป.ป.ส. และ เจ้าหน้าที่ปปง. ในวันที่ 5 ก.พ.นี้ เจ้าหน้าที่จะหารือด้วยว่าในการสอบสวนต้องเชิญ ดาราสาว “แพท ณปภา” ภรรยาของ “เบนซ์ เรซซิ่ง” มาสอบปากคำด้วยหรือไม่
ที่มา>>>ข่าวสด

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หวิดดับยกครัว! พ่อขับเก๋งจู่ๆ ยางระเบิด เสียหลักพุ่งข้ามเลน เสยปิกอัพตกถนน หลายท้องทั้งคู่

วันที่ 3 ก.พ. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองชลบุรี ได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำที่บริเวณบนถนนสายสุขประยูร (ชลบุรี-พนัสนิคม) ฝั่งขาเข้าพนัสนิคม หมู่ 8 ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยไตรคุณธรรม ชลบุรี
ที่เกิดเหตุบริเวณข้างถนนพบรถเก๋งโตโยต้า โคโรล่า หมายเลขทะเบียน กพ 6580 ชลบุรี สภาพหงายท้อง ล้อด้านซ้ายหลุดออก โดยมีนายชัยรัตน์ สงวนวารี อายุ 46 ปี คนขับได้รับบาดเจ็บมีแผลแตกที่ใบหน้า ส่วนผู้โดยสารที่มาด้วยเป็นภรรยาและลูก ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ใกล้กันพบรถกระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน ฒฬ 6087 กทม. สภาพหงายท้องเช่นกัน โดยในรถยังพบผู้ได้รับบาดเจ็บเป้น 3 พ่อ-แม่-ลูก เจ้าหน้าที่ได้ให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล
 จากการสอบถามนายชัยรัตน์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุได้พาครอบครัวจะมุ่งหน้าไปอำเภอพนัสนิคม พอขับมาถึงที่เกิดเหตุ จู่ๆ ยางรถเกิดระเบิด จนไม่สามารถที่จะบังคับรถเอาไว้ได้ ก่อนพุ่งข้ามเลนไปชนกับรถกระบะเข้าอย่างเต็มแรง จนทำให้รถทั้ง 2 คันตกลงไปข้างถนนดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมแจ้งข้อกล่าวหานายชัยรัตน์ ว่าขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย ก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ชนสยอง! เก๋งพุ่งชนราวสะพานเสียบทะลุหลังคา ไฟไหม้คลอก 2 ศพ ติดในรถ

เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 3 ก.พ. ที่ จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ดับเพลิงดอนหัวฬ่อ ได้รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนถนนสายมอเตอร์เวย์  ฝั่งขาเข้าเมืองพัทยา  กิโลเมตรที่  59 +600  หมู่ที่  5  ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี  จึงรุดไปที่เกิดเหตุพบไฟกำลังลุกไหม้รถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า วีออส  หมายเลขทะเบียนกจ  2841 กาฬสินธุ์  อย่างรุนแรง โดยรถคันดังกล่าวติดอยู่กับราวสะพาน  ตกลงไปข้างถนน และที่บริเวณหน้ารถมีเหล็กจากราวสะพานเสียบด้านหน้ารถจนทะลุออกหลังคา  เจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามใช้น้ำฉีด นานกว่า 40 นาที  เพลิงจึงสงบ
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ารถคันดังกล่าวถูกไฟไหม้  จนเป็นเศษเหล็ก ไม่ทราบสี  และภายในรถมีผู้เสียชีวิต จำนวน 2 คน นั่งอยู่ที่นั่งคนขับและเบาะหน้า   สภาพศพถูกไฟไหม้จนเกรียม จนไม่สามารถระบุเพศว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย  ซึ่งจะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพิสูจน์ว่าเป็นใครมาจากไหนต่อไป  ส่วนเอกสารภายในรถก็ถูกไฟไหม้จนหมดเช่นกัน
 เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่คาดว่า รถคันดังกล่าวขับมุ่งหน้าที่จะไปพัทยา พอขับมาถึงที่เกิดเหตุอาจจะหลับไน  จนทำให้รถพุ่งชนราวสะพานเข้าอย่างเต็มแรง จนเกิดไฟลุกไหม้ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตดังกล่าว
ที่มา>>>ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

คสช.โต้รายงานวอชิงตันโพสต์ ชี้ไทยเสี่ยงรัฐประหารแค่ 11% แต่โอกาสไม่เกิดมากถึง 89%

เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่เว็บไซต์วอชิงตันโพสต์ รายงานบทวิเคราะห์เรื่อง “ประเทศใดที่จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นในปี 2560?” ที่ปรากฏว่า ประเทศไทยติดอยู่อันดับ 2 ของการวิเคราะห์ในครั้งนี้ รองจากประเทศบุรุนดีที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการรัฐประหารมากที่สุดในโลก ว่า กรณีดังกล่าวเป็นการคาดการณ์ด้วยข้อมูลทางสถิติ ซึ่งตนต้องเรียนว่าในโลกแห่งความเป็นจริงการรัฐประหารไม่สามารถคำนวณด้วยค่าสถิติตัวเลข แต่การรัฐประหารในแต่ละครั้งล้วนเกิดจากเงื่อนไขความจำเป็นและสภาวะแวดล้อมที่สุกงอมของสถานการณ์แล้วเท่านั้น
นอกจากนี้หากเราจะยึดตามผลการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติของวอชิงตันโพสต์ ก็จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงในการเกิดรัฐประหารแค่เพียง11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นั่นย่อมหมายความว่าโอกาสที่ไทยจะไม่เกิดการรัฐประหารมีสูงถึง 89 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าค่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดการรัฐประหารเป็นไปได้ยากมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะต้องวิตกกังวลไปตามบทวิเคราะห์แม้แต่น้อย
 พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวต่อว่า ตราบใดก็ตามที่รัฐบาลยังคงทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน จนได้รับความนิยมอยู่ในระดับสูง เหมือนดังเช่นรัฐบาลชุดปัจจุบัน ดังนั้นการทำรัฐประหาร โดยที่ประชาชนไม่ยอมรับ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามข้อสังเกตประการหนึ่งคือ บทวิเคราะห์นี้ไม่ได้มีการกล่าวถึงรายงานบทวิเคราะห์การเกิดรัฐประหารของประเทศเจ้าของเว็บไซต์วอชิงตันโพสต์ แต่อย่างใด
ที่มา>>>ข่าวสด

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ครึ่งหมื่นแห่ทำพิธีกลางดึก!! ได้เลขเด็ดตะเคียนทอง หลังช่วยคนจน3งวดติด-รวยนับล้าน

วันที่ 1 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ จ.อำนาจเจริญ ฮือฮาชาวบ้านแห่ขอเลขเด็ดจากต้นตะเคียนทอง “แม่ศรีชะใบทอง” ที่ชาวบ้านระดมนำขึ้นจากใต้ท้องน้ำแม่น้ำโขงด้านอำเภอชานุมาน ภายในสำนักสงฆ์แก่งคันสูงหลังจากมีข่าวลือว่า แม่ค้าขายขายอาหารที่แก่งคันสูงถูกหวยนับล้านบาท ซึ่งมีประชาชนจำนวนมาก แห่ขอเลขเด็ดจาก ต้นตะเคียนทอง “แม่ศรีชะใบทอง” ภายในสำนักสงฆ์แก่งคันสูง  บ้านคันสูง หมู่ 3 ตำบลโคกสาร อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ อย่างต่อเนื่อง
โดยมีการเข้าแถวต่อคิวกัน เพื่อที่จะเข้าไปทาแป้งหอม ลูบขอส่องเลขเด็จจากต้นตะเคียนทอง แม่ศรีชะใบทอง โดยนักแสวงโชคยังคงเชื่อว่าจะมีโชคลาภภายหลัง เมื่อสองงวดที่ผ่านมามีแม่ค้าขายของริมฝั่งโขงจำนวนมาก พากันรับโชคถูกหวย จากต้นตะเคียนทอง แม่ศรีชะใบทอง มาขอเลขเด็ด งวดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 นี้ โดยแม่ค้าจะบอกวิธีการขอเลขเด็ด ขอโชคขอลาภว่า ผู้ที่จะมาขอโชคลาภ ต้องเข้าไปกราบนมัสการพระวิรเชษฐ์ ชินวังโส ขอพรตั้งจิตอธิษฐาน แจ้งความประสงค์ก่อน จึงจะไปขูดขอเลขเด็ดจากต้นตะเคียนทองแม่ศรีชะใบทองได้สมหวังดังใจนึก ซึ่งที่ผ่านมามักจะให้เลขเด็ดกับคนที่ฐานะยากจนที่มาขอพร หากเป็นวันก่อนหวยออกและคนเชื่อกันว่าต้นตะเคียนทองแม่ศรีชะใบทอง ให้แม่น รอบนี้ จะเป็นงวด ที่ 3 ของหวยไทย และ เลข สปป.ลาวถูกทุกงวด จนเจ้ามือหวย เริ่มงงและอึ้งกันเลย และงวดวันที่ 1 ก.พ. นี้บอกมาว่า 35 และ 53 อีกด้วยตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ พระวิรเชษฐ์ ชินวังโส เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์แก่นคันสูง กล่าวว่า หลังเป็นข่าวดังมีคนแห่มากราบไหว้ขอพรกันเป็นจำนวนมาก บางรายก็มาขอหวยอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อ บางคนก็ถูกบางคนก็ไม่ถูกคงแล้วแต่ดวงและความเชื่อ ตนไม่ขอให้ความคิดเห็น อันไหนโยมทำแล้วสบายใจก็ว่าไป แต่สิ่งที่ตนอยากได้คือสร้างบ้านสร้างเมืองให้เจริญหูเจริญตาประชาชนมีรายได้ในการประกอบค้าขาย อย่างเช่นที่แก่งคันสูงแห่งนี้ หลังเป็นข่าวพบไม้ตะเคียนทองอายุกว่าหลายร้อยปี ก็มีคนมากราบไหว้และมาท่องเที่ยวชมความงามของแก่นคันสูงมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการค้าขายของใช้อาหารเครื่องดื่มขายดีตามมา สร้างรายได้ให้ประชาชนในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี
เมื่อคืนที่ผ่านมา เมื่อเวลา 20.39 น. คืนวันที่ 31 มกราคม 2560 ได้มีพ่อปู่บัวละรม ซึ่งเป็นลูกศิษย์เอกหลวงปู่สรวงรุ่นสุดท้ายเดินทางมาจาก อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ทำพิธีเข้าทรงเจ้าแม่ศรีชะใบทองแก่งคันสูง ชาว อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ เดินทางมาร่วมพิธีกว่า 5,000 คน ซึ่งได้ขอบนบานกับแม่ศรีชะใบทองว่าถ้าถูกหวยจะช่วยสร้างศาลาปฏิบัติธรรมที่พักสงฆ์แก่งคันสูงให้แล้วเสร็จทันทีที่มีคนมาบริจาคจากนั้นก็ทำพิธีแล้วก็ได้หวยจริงๆมี 328 และเลข 53 ซึ่งงวดที่ผ่านมา เข้าทรงทำพิธีได้เลข 25 ตรงๆ ก็ถูกกันทั้งจังหวัดและจะนำต้นตะเคียนทองแม่ศรีชะใบทอง ที่มาเข้าฝัน พระวิรเชษฐ์  ชินวังโส ว่า ตน อยากขึ้นจากลำน้ำโขงและขอให้พระวิรเชษฐ์ ชินวังโส ได้ช่วย และให้บอกข่าวชวนประชาชนบ้านคันสูงว่า ตนจะช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน จะช่วยพระวิรเชษฐ์ ชินวังโส สร้างสำนักสงฆ์  พร้อมต้นตะเคียนที่อยู่ใต้น้ำอีกต้นยังบอกว่าตนอยู่ใต้ลำน้ำโขงมานานอยากขึ้นไปหาเพื่อนและอยากไปอยู่ใกล้ๆกัน โดยต้นตะเคียนทองแม่ศรีชะใบทอง ขอขึ้นมาก่อนเป็นภรรยา
นางวิไลพร พลโสภา แม่ค้าขายอาหารที่แก่งคันสูง บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ประชาชนบ้านคันสูงได้ดำน้ำและพบต้นเคียนทองขนาดใหญ่แล้วอีกต้น อยู่ระหว่างการเตรียมการเชิญขึ้นฝั่ง มาอยู่คู่กัน และบางคนก็บอกว่าต้นตะเคียนทั้งสองต้นนี้เป็นสามีภรรยากัน จึงอยากขึ้นมาอยู่คู่กันที่แก่งคันสูงแห่งนี้เพื่อช่วยให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด