วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

3 ประโยชน์ของ “ผงชูรส” ที่คุณอาจไม่รู้


ทำอาหารทานเองที่บ้านเมื่อไร หลายคน (โดยเฉพาะคนที่กำลังใส่ใจสุขภาพอย่างเคร่งครัด) เลี่ยงที่จะใส่ผงชูรสลงไปในอาหารอย่างเด็ดขาด ด้วยเข้าใจว่าผงชูรสให้โทษต่อร่างกาย บ้างก็ว่าทานมากๆ แล้วผมร่วง หรือใครที่มาอาการแพ้ผงชูรสก็ยิ่งแล้วใหญ่ แต่จริงๆ แล้วผงชูรสก็มีประโยชน์เหมือนกันนะคะ ผงชูรสมีดีอย่างไร มาดูกัน

1. ช่วยเพิ่มความอยากอาหารให้แก่ผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุหลานท่านเริ่มทานอาหารไม่ค่อยอร่อย เพราะต่อมรับรู้รสชาติเริ่มทำงานไม่ไวต่อรสชาติมากเท่าสมัยยังหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้สูงอายุหลายท่านเริ่มมีอาการเบื่ออาหาร และค่อยๆ ผ่ายผอมลงเรื่อยๆ
วิธีแก้ไขง่ายนิดเดียว เพียงเพิ่มผงชูรสลงไปในอาหารเพียงเล็กน้อย จะทำให้ผู้สูงอายุรับรู้รสชาติ “อูมามิ” หรือรสชาติอร่อยกลมกล่อมของอาหารได้มากขึ้น ช่วยเจริญอาหารได้มากขึ้นนั่นเอง

2. ช่วยให้กระเพาะอาหาร และต่อมน้ำลายทำงานดีขึ้น

ในผู้ป่วยที่มีภาวะกระเพาะอาหารฝ่อ หรือต่อมน้ำลายทำงานได้ไม่ดี อาจทำให้เกิดอาการน้ำลายแห้ง และเบื่ออาหาร การเพิ่มรสชาติอูมามิผ่านผงชูรสลงไปในอาหาร จึงช่วยกระตุ้นความอยากอาหารให้ผู้ป่วยทานอาหารได้มากขึ้น ทานอาหารได้อร่อยขึ้นนั่นเอง

3. ช่วยลดปริมาณโซเดียมในอาหารได้

ในคนที่ติดรสชาติเค็ม ปรุงอาหารโดยน้ำปลา หรือเกลือแกงจำนวนมาก เพื่อให้ได้รสชาติที่ต้องการ หากเปลี่ยนมาใส่เกลือแกงน้อยลง แล้วใส่ผงชูรสลงไปเล็กน้อย จากผลงานวิจัยพบว่าได้รสชาติอร่อยยถูกใจไม่แพ้กัน ดังนั้นการใส่ผงชูรสลงไปในอาหารเล็กน้อย จะช่วยให้เราใส่เกลือแกงได้น้อยลง โดยที่รสชาติไม่เสีย
จะเห็นได้ว่าหากใส่ผงชูรสปริมาณเล็กน้อย ไม่ได้ทำสุขภาพของเราเสียแต่อย่างใด แถมยังมีประโยชน์ได้ในหลายๆ ด้าน เพียงแต่ต้องทานเพียงเล็กน้อย และต้องมั่นใจว่าเป็นผงชูรสแท้เท่านั้น ใครที่แพ้ผงชูรสคงต้องงดต่อไป ใครที่อยากลดการทานเค็ม แต่พอไม่ใส่เกลือไม่ใส่น้ำปลาก็รู้สึกอาหารไม่อร่อย ก็ลองใส่ผงชูรสปลายๆ ช้อนชาได้ ส่วนใครที่ยังมีความกังวลก็เลี่ยงที่จะไม่ทานได้เหมือนเดิมค่ะ เอาที่สบายใจเนอะ
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 ประโยชน์จากน้ำมันมะกอกที่คุณอาจไม่เคยรู้


แม้ว่าชาวไทยจะคุ้นชินกับการบริโภคน้ำมันพืช น้ำมันหมูมากกว่า ด้วยราคาที่ย่อมเยา และยังปรุงอาหารได้หลากหลายตามตำรับตำราอาหารไทย แต่หากคุณคือหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น คงจะรู้จัก และเริ่มรับประทานน้ำมันมะกอกกันมาได้สักพักแล้ว เพราะน้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยไขมันที่ดีต่อร่างกาย หากทานในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
นอกจากนี้ “น้ำมันมะกอก” ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ใช่เพียงการบริโภคธรรมดาๆ แถมยังมีประโยชน์ไปตั้งแต่ผู้ใหญ่ ไปจนถึงเด็กเล็กในครอบครัวอีกด้วย

  1. ใช้ประกอบอาหาร

น้ำมันมะกอกนั้นให้ประโยชน์เป็นอย่างมากต่อร่างกายและสุขภาพ ทั้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจ และเบาหวาน ซึ่งน้ำมันมะกอกยังสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารให้แก่เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปได้ด้วย
น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น ประกอบด้วยโอเมก้า 3 และ 6 ในปริมาณใกล้เคียงกับน้ำนมแม่ อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่ม ซึ่งช่วยในเรื่องของพัฒนาการสมองของเด็กได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น ยังมีวิตามิน D ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกอีกด้วย
คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มใช้น้ำมันมะกอกในการประกอบอาหารให้แก่ลูกๆ ได้ เมื่อน้องๆ เริ่มรับประทานอาหารได้ หรืออาจเติมน้ำมันมะกอกในปริมาณเพียงช้อนชาลงไปในอาหาร เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ และเสริมสร้างพัฒนาการในระยะยาว
สำหรับผู้ใหญ่สามารถใช้น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นเป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด ซอสต่างๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านความร้อน หรือหากอยากนำน้ำมันมะกอกมาทำอาหารที่ผ่านความร้อน เช่น ผัด หรือทอด ควรเลือกน้ำมันมะกอกให้ถูกชนิด

  1. บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

น้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอี เพียงใช้น้ำมันมะกอกทาบางๆ และนวดเบาๆ บนผิว จะช่วยให้มีผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้านเป็นสะเก็ด ดูผิวสุขภาพดี เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ทั้งยังระหว่างนวดยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และหลับสบายอีกด้วย นอกจากผู้ใหญ่แล้ว ผิวของเด็กก็สามารถใช้น้ำมันมะกอกนวดได้เช่นกัน นอกจากเด็กจะได้ผิวพรรณที่นุ่มนวลไม่แห้งแตกแล้ว ยังเป็นการกระชับความผูกพัน สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้มากยิ่งขึ้น ที่ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ของเด็กอีกด้วย

  1. ขจัดรังแค

รังแคเกิดจากหนังศีรษะที่แห้งเป็นขุย ซึ่งความชุ่มชื้นจากน้ำมันมะกอกจะช่วยขจัดรังแคบนหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี เพียงทาน้ำมันมะกอกบนหนังศีรษะ และเส้นผมให้ทั่วแบบบางๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยแชมพู และน้ำอุ่น จากนั้จึงค่อยๆ หวีผม เพื่อช่วยให้รังแคหลุดออกมา โดยน้ำมันมะกอกยังช่วยบำรุงเส้นผมเงางาม ไม่แห้งเสีย และแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

  1. แก้อาการท้องผูก

น้ำมันมะกอกสามารถช่วยลดอาการท้องผูกได้ ทั้งจากการรับประทานตามปกติสำหรับผู้ใหญ่ และลูบไล้บริเวณท้องสำหรับเด็ก โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาประกอบอาหารเพื่อช่วยเป็นยาระบายอาการท้องผูกให้แก่เด็กได้ หรืออีกหนึ่งวิธี คือ การน้ำมันมะกอกอุ่นๆ มาลูบไล้เบาๆ เป็นเข็มนาฬิกาบริเวณหน้าท้องของลูกๆ

  1. ลดอาการไอ

น้ำมันมะกอกช่วยบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี เพียงผสมน้ำมันมะกอกประมาณ 3-4 ช้อนชา เข้ากับโรสแมรี่ ยูคาลิปตัส และน้ำมันสะระแหน่ ประมาณ 2-3 หยด แล้วลูบไล้บริเวณหน้าอก และหลังก่อนเข้านอน เพียงเท่านี้ก็สามารถบรรเทาอาการไอ และช่วยให้หลับสบายได้ง่ายขึ้น

น้ำมันมะกอกเพียงขวดเดียวสามารถให้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพได้ทั้งครอบครัว อย่าลืมลองนำน้ำมันมะกอกไปใช้ในชีวิตประจำวันกัน โดยสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยประโยชน์จากภายใน ด้วยการนำน้ำมันมะกอกมาปรุงอาหารและประโยชน์อื่นๆ จากการใช้ภายนอก หากไม่มั่นใจในเรื่องใดควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ระวัง! นอนเปิดแอร์ปรับอากาศทั้งวัน ระวังสุขภาพพังไม่รู้ตัว


ถ้าอากาศในเมืองไทยจะร้อนจนพัดลมธรรมดาๆ ก็เอาไม่อยู่ขนาดนี้ การได้แอร์ปรับอากาศมาช่วย ในวันที่อากาศจะทำเราเป็นลม บ้านหรือห้องของเราก็จะกลายเป็นสวรรค์น้อยๆ ที่ทำให้เรากลายเป็นคนอยู่ติดบ้าน รักบ้านขึ้นมาทันที แต่เคยสงสัยไหมคะว่า นอกจากจะเปลืองไฟแล้ว การเปิดแอร์ปรับอากาศทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ จะมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้างหรือเปล่า?
ข้อเสียของการเปิดแอร์ปรับอากาศนอน
1. การใช้แอร์ปรับอากาศตลอดเวลา มีโอกาสทำให้ภายในห้องอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ยิ่งหากมีการปิดม่านกันแสงเข้าห้องด้วยอีกแล้ว อาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อรา หรือไรฝุ่น ตามพรมเช็ดเท้า ผ้าขนหนู ที่นอน ผ้าห่ม หมอน หากดูแลทำความสะอาดไม่ดีพอ
2. หากปรับอากาศให้เย็นในทันที และแอร์ทำความเย็นอย่างรวดเร็ว หลอดเลือดในร่างกายอาจปรับตัวอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้เกิดอากาศปวดศีรษะได้
3. อากาศเย็นจากแอร์ปรับอากาศ อาจทำให้ผิวหนังแห้ง จมูกแห้ง ตาแห้งได้ หากใครผิวแห้งมากๆ อาจเกิดอาการคันตามผิวหนัง
4. หากไม่ทำความสะอาดแอร์ปรับอากาศให้ดี อาจเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจต่างๆ รมไปถึงภูมิต้านทานโรคต่ำลง จนอาจเป็นหวัด ภูมิแพ้ หรือไอเจ็บคอได้ง่าย เพราะบริเวณเซลล์เยื่อบุโพรงจมูก คอ หลอดลม แห้งเกินไป ไม่มีเมือกที่คอยดักจับฝุ่น หรือเชื้อโรคต่างๆ จึงทำให้เรารับเชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น 

วิธีป้องกันโรคต่างๆ ที่มาจากแอร์ปรับอากาศ
1. ลดการใช้แอร์ปรับอากาศลงบ้าง อาจใช้เฉพาะเวลาช่วงหนึ่งๆ หรืออาจจะตั้งให้แอร์ตัดก่อนตื่นนอน 1 ชั่วโมง หากวันไหนอากาศไม่ร้อนมาก ก็ลองใช้พัดลมธรรมดา แทนการใช้แอร์ เป็นต้น
2. อย่าปรับอากาศให้หนาวเย็นจนเกินไป อาจจะอยู่ที่ 25 องศา หรือมากกว่านี้ก็ได้ ให้พอหายร้อนเป็นพอ ไม่ต้องถึงขั้นเปิดแอร์นอน แล้วห่มผ้านวมหนา
3. อย่าปล่อยจมูก คอ หรือหลอดลมแห้งจนเกินไป สังเกตได้จากการหายใจ ที่จะรู้สึกแห้งๆ แสบๆ อาจใส่ผ้าปิดปากบ้าง เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของจมูก และทางเดินหายใจ
4. ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ หากผิวแห้ง ให้ทาโลชั่น หรือครีมบำรุงผิวด้วย
5. อาจลองเปิดหน้าต่าง เปิดประตู เปิดม่านภายในห้องบ้าง ทำความสะอาดโดยการกวาดบ้าน หรือดูดฝุ่น และถูบ้าน เพื่อกำจัดไรฝุ่นให้ได้มากที่สุด และไล่เอาความชื้นภายในห้องออกไป เพื่อป้องกันเชื้อรา
6. อาจติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ หากคุณมีปัญหาทางเดินหายใจมากจริงๆ เช่น มีโรคหอบหืดเป็นโรคประจำตัว หรือเป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดคัดจมูกบ่อยๆ เป็นต้น
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 อาหารบำรุงเลือด ป้องกันเลือดจาง


ใครที่เป็นโลหิตจาง นอกจากจะไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย หน้ามืด วิงเวียนศีรษะง่ายแล้ว ยังบริจาคเลือดไม่ได้ด้วยนะ เพราะฉะนั้นเรามาบำรุงร่างกายของเราให้แข็งแรง ด้วยอาหารดีๆ ที่จะช่วยบำรุงเลือดของเราให้เข้มข้นขึ้น ป้องกันภาวะโลหิตจางกันดีกว่า 
5 อาหารบำรุงเลือด ป้องกันเลือดจาง
  1. เลือดสัตว์ ตับสัตว์ เนื้อสัตว์ต่างๆ
อาหารเหล่านี้จะมีธาตุเหล็กอยู่มาก ซึ่งเจ้าธาตุเหล็กนี่แหละที่จะช่วยบำรุงโลหิต และธาตุเหล็กที่มาจากสัตว์ ลำไส้จะดูดซึมไปใช้ได้มากกว่าธาตุเหล็กที่มาจากพืชอีกด้วย ดังนั้นทานเข้าไปเสียบ้างนะ (จากประสบการณ์ตรง เราเป็นคนที่ “เกือบ” จะอยู่ในภาวะโลหิตจางจนบริจาคเลือดไม่ได้ ระดับความเข้มข้นของเลือดคือคาบเส้นพอดี พี่หมอแนะนำให้ทานต้มเลือดหมูให้บ่อยขึ้นค่ะ)

  1. ผักใบเขียวเข้ม
อีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ทานมังสวิรัติ แม้ว่าธาตุเหล็กที่ได้จากพืชจะไม่มากเท่าจากสัตว์ แต่ก็ควรทานก่อนที่จะอยู่ในภาวะขาดธาตุเหล็ก ผักที่แนะนำได้แก่ คะน้า บล็อกโคลี่ ผักบุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม
เคล็ดลับ เมื่อร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชไปใช้ได้น้อย เราจึงควรทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงควบคู่ไปด้วย เพื่ออาศัยกรดเกลือในกระเพาะอาหาร และวิตามินซีช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ อาหารที่มีวิตามินซี สูง ส้ม มะละกอ ฝรั่ง มะนาว เป็นต้น
  1. ไข่
เป็นอีกหนึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ส่วนใหญ่คือโปรตีน แต่ก็ยังมีปริมาณของธาตุเหล็กที่จะช่วยบำรุงโลหิตของเราให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะไข่แดงจะมีธาตุเหล็กสูงกว่าไข่ขาว

  1. ธัญพืชต่างๆ
ถั่วชนิดต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ อัลมอนด์ รวมไปถึงข้าวโอ๊ต และจมูกข้าวสาลี ก็เป็นแหล่งอาหารที่นอกจากจะมีโปรตีนที่ดีต่อการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และบำรุงโลหิตอีกด้วย

  1. อาหารทะเล
อาหารทะเลอย่างปลา กุ้ง ปลาหมึก ปู อุดมไปด้วยโปรตีน และแร่ธาตุต่างๆ มากมาย รวมไปถึงธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงโลหิตอีกด้วย แต่อย่าทานมากเกินไป เพราะอาหารทะเลที่อร่อยสุดๆ มักมาพร้อมกับปริมาณแคลอรี่ และคอเลสเตอรอลที่มากตามไปด้วย

นอกจากอาหารแล้ว ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโลหิตจาง ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอด้วย จะได้ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู สร้างเม็ดเลือดแดงดีๆ ไว้บำรุงร่างกายให้แข็งแรงไปด้วยกัน คราวนี้ก็จะไม่เหนื่อย หน้ามืด หรือเป็นลมเป็นแล้งง่ายอีกแล้วล่ะค่ะ
ที่มา:sanook

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

8 วิธีเด็ด "เลิกเหล้า" ได้อย่างถาวร


โรงพยาบาลสวนปรุง กรมสุขภาพจิต ประสบผลสำเร็จวิจัยและพัฒนายา “แคลแอคทีฟพลัส” แคลเซียมสมุนไพรตำรับพิเศษ ทำจากเปลือกไข่และถั่วเน่าพื้นเมือง ซึ่งมีวิตามินเค 2 ชนิดเอ็มเค 7 สูง ใช้รักษาผู้ป่วยติดเหล้าที่มีปัญหาแคลเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งพบได้ทุก 1 ใน 2 คน ป้องกันโรคกระดูกพรุน และช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด โดยผลการวิจัยพบว่าสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดี และปลอดภัย จากกรณีดังกล่าวจึงมี 8 วิธีเลิกเหล้าได้อย่างถาวรจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มาฝากกัน จะมีวิธีใดบ้างไปดูกันเลย 
1. ต้องตั้งใจจริง
องค์ประกอบแรกนั้นสำคัญที่สุด คือความตั้งใจที่จะเลิก ประกอบไปด้วย ต้องคำนึงถึงโทษและพิษของสุราก่อน คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเมาแล้วเดี๋ยวก็หาย การเรียนรู้ถึงพิษของสุราในระยะสั้นและระยะยาว จะช่วยให้เราเลิกสุราได้ง่ายขึ้น การจะเลิกสุราได้หรือไม่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเราเป็นสำคัญที่สุด เพราะมันมีความสำคัญมากกว่ายาใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นการเลิกสุราได้นับว่ายากมากแล้ว แต่การระวังตนไม่ให้กลับไปติดอีกนั้นสำคัญยิ่งการตอนที่เลิกเสียอีก
2. ตั้งเป้าหมายว่าจะเลิกเพื่อใคร
การตั้งเป้าหมาย ว่าอยากจะเลิกเหล้าเพื่อใครสักคน ก็เป็นสิ่งที่ทำให้สามารถเลิกเหล้าได้เช่นกัน ตัวอย่าง เช่น อยากเลิกเหล้าเพื่อให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ ว่าเราไม่ได้เป็นคนเหลวไหล หรืออยากเลิกเหล้าเพราะไม่อยากเมาให้ลูกเห็น อยากเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก อยากเลิกเหล้าเพื่อสามี เพื่อภรรยา รวมถึงเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง ก็แล้วแต่ตรงนี้ถือว่าเป็นการแรงบันดาลใจของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป
3. ปรับเปลี่ยนนิสัยการดื่ม
ปรับเปลี่ยนนิสัยการดื่ม เช่น ผู้ที่เคยดื่มสุราเป็นประจำอาจเลิกทันทีได้ยาก ให้ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้ ซึ่งจะทำให้ดื่มน้อยลง เช่น ดื่มสุราพร้อมกับรับประทานอาหาร หมั่นดื่มน้ำเปล่าควบคู่ไปกับการดื่มสุรา เปลี่ยนขนาดของแก้วจากแก้วใหญ่เป็นแก้วเล็ก ดื่มเครื่องดื่มที่มีดีกรีต่ำกว่าทดแทนไปก่อนในระยะแรก
4. ตั้งเป้าหมายว่าจะลดปริมาณการดื่มให้น้อยลงไปเรื่อย ๆ จนงดในที่สุด
สำคัญมาก ๆ คือ การเลิกสุราสำหรับใครที่ติดหนักจริงๆ ควรปรึกษาแพทย์ อาจต้องค่อยๆ ลดปริมาณลงไม่สามารถหักดิบได้ ส่วนยาเลิกเหล้า ยาเบื่อเหล้า ก็มีจำหน่ายทั่วไปตามร้านขายยา จะช่วยให้เราไม่มีอาการลงแดงหนักๆ ในช่วงแรกที่เลิก สามารถขอคำแนะนำจากโรงพยาบาล สถานบริการสาธารณะสุขทั่วประเทศ หรือโทร 1165 สายด่วนเลิกเหล้า รวมถึง 1413 ศูนย์รับปรึกษาปัญหาเรื่องสุราได้

5. หลีกเลี่ยงจากปัจจัยแวดล้อมที่จะทำให้เราดื่มเหล้าได้ง่ายขึ้น
หากจะเลิกสุราให้ขาด เราต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของเรา ให้ห่างจากสุรามากที่สุด ได้แก่ ช่วงเวลาหลังเลิกงาน วันเงินเดือนออก โอกาสพิเศษต่างๆ การไปเที่ยวผับ หรือร้านอาหาร สถานบันเทิง การชักชวนจากกลุ่มเพื่อนที่ดื่มจัด รวมถึงสาเหตุต่างๆ ที่นำไปสู่อาการเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ เศร้า หรือเครียด
6. ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมอื่นแทนการสังสรรค์
สุราเป็นทั้งสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ทั้งในแง่ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นตับแข็ง หรือโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด เนื่องจากแอลกอฮอล์ถือเป็นสารที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย สามารถทำลายระบบประสาท การดื่มสุราจึงส่งผลให้ผู้ที่ดื่มเป็นโรคเกี่ยวกับความจำเสื่อมได้ ความจำ ความคิด และการตัดสินใจของผู้ที่ดื่มสุราจะแย่กว่าคนปกติ นอกจากนี้สุรายังไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกายของเราในระยะยาว และการดื่มที่เกิดกว่าจำเป็น จะส่งแต่ผลเสียให้กับร่างกายเรา ดังนั้นต้องหันมาดูแลสุขภาพตัวเองในด้านอื่น ๆ เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา ไปทำบุญ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะส่งผลให้เลิกสุราได้ง่ายขึ้น
7. ฝึกการปฏิเสธให้เด็ดขาด
สาเหตุที่คนเรามักจะหลงไปติดสุราจำนวนมาก มาจากค่านิยมที่ว่า สุราเป็นเครื่องมือเข้าสังคม และความคิดที่ว่านิดเดียวไม่ติดหรอก แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ติดสุราโดยไม่รู้ตัว เหตุผลที่การเลิกสุราทำได้ยากนั้น สาเหตุหลักคือหาดื่มได้ง่าย และไม่ผิดกฎหมาย  และในทุกๆ งานเลี้ยงของคนไทยมักจะมีสุราอยู่ด้วยเสมอ ฉะนั้นสำคัญที่สุดคือ ต้องรู้จักปฏิเสธ จึงจะเลิกสุราได้อย่างถาวร เช่น ถ้าเพื่อนชวนให้ดื่มสุรา ให้บอกว่าหมอห้ามดื่ม สัญญากับลูกไว้ ไม่ว่างต้องรีบไปทำธุระ เป็นต้น 
8. หาที่พึ่งทางใจ รวมถึงหากำลังใจจากคนรอบข้าง
การหาที่พึ่งทางใจจากคนใกล้ตัว โดยเฉพาะคนในครอบครัว เช่น พ่อแม่ คนรัก ลูก เพื่อนสนิท หรือคนที่สามารถให้คำแนะนำดี ๆ แก่เราได้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน การได้รับกำลังใจ การถูกตักเตือนจากคนที่เรารัก และชื่นชมในความพยายามของเรา จะทำให้เรารู้สึกว่า เราสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งสุรา และมีค่ามากขึ้นเมื่อเวลาไม่เมา
คำเตือน : สำหรับผู้ติดสุราเรื้อรังอาจเกิดอาการถอนพิษสุราอย่างรุนแรง หากเลิกด้วยกันหักดิบ การหยุดใช้ยา ระงับประสาทหลาย ๆ ตัวโดยเฉียบพลันอาจทำให้เกิด อาการประสาทหลอนจากพิษสุรา ในช่วงสองสามวันแรก ของการหักดิบ อาการวิตกกังวลอย่างรุนแรงและอาการสั่นอาจนำไปสู่อาการชักกระตุก หรืออาจลุกลามถึงขึ้น เป็นลมชักมีอันตรายถึงชีวิต ผู้ติดสุราเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการหักดิบ แพทย์อาจจ่ายยากล่อมประสาท ประเภท benzodiazepine ร่วมกับแนวทางอื่นๆ เพื่อนช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการถอนพิษสุรา
 ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

10 เมนูอาหารเย็นไทยๆ แคลอรี่ต่ำ ไม่เกิน 200 Kcal


การจะหาอาหารเย็นแคลอรี่ต่ำๆ ทานหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะขากลับบ้าน เดินผ่านตลาด ของกินข้างทาง มีแต่ไก่ทอด แกงกะทิ และอีกหลายเมนูที่อร่อยเข้มข้น แต่อ้วนสุดๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าอาหารอร่อยง่ายสบายท้อง พร้อมแคลอรี่ต่ำสุดๆ มีอะไรน่าทานบ้าง

10 เมนูอาหารเย็นไทยๆ แคลอรี่ต่ำ ไม่เกิน 200 Kcal

1. ก๋วยเตี๋ยวหมูสับน้ำใส 200 กรัม 140 Kcal
เลือกน้ำใสๆ หมูสับแบบไม่ติดมัน หรือติดมันให้น้อยที่สุด ประโคมผักเยอะๆ ปรุงรสให้น้อยเข้าไว้ และเส้นให้น้อยกว่าผักครึ่งหนึ่ง หรือจะเกาเหลาก็โอเค ให้เต็มที่ไปเลย 200 กรัม ยังไม่ถึง 150 Kcal เลยคิดดู อย่าลืมบอกพี่คนขายว่าไม่ต้องราดกระเทียมเจียวด้วยนะ

 
2. แกงส้มผักรวมกับปลา 200 กรัม 100 Kcal + ข้าวกล้อง 80 Kcal = 180 Kcal
ใครที่คิดว่าก๋วยเตี๋ยวยังไม่อยู่ท้อง มาที่ข้าวกับแกงส้มได้เลย คุณพระ! แกงส้มผักรวมสุดแซ่บ กับปลาอร่อยๆ รวมกันยังไม่ถึง 200 Kcal รับรองว่าอิ่ม อร่อย รสชาติจัดจ้านแบบไทยแน่นอน แต่ถ้าจะให้ดี ทำแกงส้มด้วยตัวเองไปเลย จะควบคุมปริมาณเครื่องปรุงที่ใส่ลงไปในแกงได้ดีกว่านะ

 
3. แกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ไข่หมูสับ 200 กรัม 110 Kcal + ข้าวกล้อง 80 Kcal = 190 Kcal
คนที่ไม่ทานเผ็ด มาเมนูอร่อยง่ายสบายท้องง่ายๆ กับแกงจืดเต้าหู้ไข่หมูสับได้เลย ยิ่งใส่สาหร่ายลงไปด้วยนิดนึงยิ่งอูมามิ แต่ถ้าจะให้เราแนะนำ ไม่ต้องใส่วุ้นเส้นจะดีกว่าค่ะ เพราะถ้าใส่วุ้นเส้นด้วย นอกจากจะอืดเต็มชามแล้ว ยังเพิ่มปริมาณแคลอรี่ให้สูงขึ้นไปอีก เผลอๆ จะเกิน 200 Kcal เอาน่ะ

4. โจ๊กหมู/ข้าวต้มหมู 200 กรัม 160 Kcal
โจ๊กหรือข้าวต้ม ไม่จำเป็นต้องทานเป็นมื้อเช้าอย่างเดียวเสมอไป จะทานตอนเย็นก็อร่อยง่ายสบายท้องเช่นกัน แต่ถ้าจะทานเป็นตอนเย็น ลองไม่ใส่ไข่ดูก็จะดีกว่านะคะ เพราะถ้าพิเศษใส่ไข่ด้วย แคลอรี่พุ่งแน่ๆ บวกเพิ่มไปเลยอีก 75 Kcal ถ้าต้มโจ๊กทานเอง จะแอบซอยกะหล่ำปลี ต้นหอมผักชี แครอท บร็อคโคลี่ หรือผักที่ชอบลงไปด้วยก็ได้นะคะ

 
5. ยำวุ้นเส้นหมูสับ 200 กรัม 120 Kcal
อาหารยอดนิยมของสาวๆ เพราะยำเป็นอาหารรสจัด แก้เลี่ยน และวุ้นเส้นอมน้ำยำได้ดี แต่อย่าใส่วุ้นเส้นเยอะล่ะ เพราะนอกจากจะอืดเต็มจานง่ายแล้ว วุ้นเส้น 100 กรัม ให้แคลอรี่ 337 Kcal เชียวนะ เพราะฉะนั้นใส่น้อยๆ แค่ 10-30 กรัม หรือราว -30-90 Kcal จะดีกว่าค่ะ

 
6. ไข่ตุ๋น 1 ฟอง 75 Kcal + ข้าวกล้อง 80 Kcal = 155 Kcal
ใครที่ไม่ค่อยอยากทานอะไรที่ย่อยยาก ลองเมนูไข่ตุ๋นดูสิคะ อร่อย และทำง่ายมากๆ แถมยังเหลือปริมาณแคลอรี่ให้เพิ่มท็อปปิ้งลงบนไข่ตุ๋นได้อีกนิดหน่อย ไม่ว่าจะเป็นหมูสับ ปูอัด เนื้อปลานิดหน่อย เห็ดหอม หรือจะแปะก๊วยเหมือนอย่างที่เราเห็นในไข่ตุ๋นญี่ปุ่นก็น่าทานนะ

 
7. น้ำพริกผักสด 1 เซ็ตเล็ก 55 Kcal + ไข่ต้มครึ่งฟอง 38 Kcal + ข้าวกล้อง 80 = 173 Kcal
เต็มเซ็ตกันไปเลยสำหรับมื้อนี้ น้ำพริก ผักสด ไข่ต้ม และข้าว ไม่อิ่มก็ให้มันรู้ไป นอกจากรสแซ่บดั่งใจไทยแท้แล้ว ยังครบ 5 หมู่อีกด้วย สามารถเลือกน้ำพริกได้ตามต้องการ แต่ถ้าให้เราแนะนำก็เลี่ยงน้ำมันที่มันย่องๆ ออกไปหน่อยนะ อย่างน้ำพริกมะขาม น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกอ่อง พวกนี้อาจจะเก็บไว้ทานมื้ออื่นดีกว่า

 
8. ปลานึ่งมะนาว/ปลาเผาตัวเล็ก 155 Kcal
ใครไม่อยากทานแป้ง ขอให้แวะมาทานเนื้อปลาแทน ได้โปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ และรสชาติแซ่บๆ ของมะนาวก็จัดจ้านสดชื่นดีอย่าบอกใคร แต่อย่าเผลอปรุงรสจัดจนเกินไปนะ ระวังจู๊ดๆ ทานกับผักสดก็ดีต่อสุขภาพอย่าบอกใครเลยเชียว

 
9. ผัดถั่วงอกกับเต้าหู้ 200 กรัม 155 Kcal
จริงๆ อาหารประเภทไม่ค่อยอยากแนะนำเท่าไร เพราะอาจเลี่ยงปริมาณน้ำมันที่ใช้ไม่ได้ แต่หากคุณเป็นคนทำอาหารทานเอง ใช้น้ำมันมะกอกผัดแบบเร็วๆ ก็พอได้อยู่นะ ยิ่งได้โปรตีนดีๆ จากถั่วงอกด้วยยิ่งดีใหญ่ ใครยังไม่อิ่มอนุญาตให้ทานข้าวเพิ่มได้ 2 ช้อนโต๊ะพูนๆ โอเคป่ะ?

 
10. ปอเปี๊ยะสด 1 ชิ้น 175 Kcal
จะบอกว่าเป็นอาหารไทยก็ไม่เชิง เพราะจริงๆ แล้วต้นตำรับมาจากประเทศเวียดนาม แต่เดี๋ยวนี้ปอเปี๊ยะได้รับการปรับปรุงสูตรจนมีสารพัดไส้ และน้ำจิ้มให้เลือกมากมาย ถ้าอยากทานแบบสุขภาพดี ก็ลองเปลี่ยนไส้เป็นไส้ผัก ไส้เห็ด ไส้หมูสับ กุ้ง และเปลี่ยนน้ำจิ้มหวานๆ ที่ราดบนปอเปี๊ยะ เป็นน้ำสลัดไขมันต่ำ หรือน้ำสลัดซีฟู้ดเพิ่มความแซ่บได้เหมือนกันค่ะ

ได้ไอเดียดีๆ แล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมเตรียมเมนูเด็ดๆ รอไว้ได้เลย แล้วอย่าลืมไปออกกำลังกายด้วยล่ะ จะได้น้ำหนักลดอย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ จำเอาไว้ว่าควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นกุญแจของการมีสุขภาพดีนะคะ
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เช็คเลย! “ลิ้น” แบบไหนอันตราย


“ลิ้น” เป็นอวัยวะชิ้นเล็กๆ ในช่องปากที่หลายคนอาจจะมองข้าม แต่จริงๆ แล้วมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของเรามาก ลองคิดดูว่าถ้าลิ้นของเราไม่มีปุ่มรับรส เราคงทานอาหารไม่อร่อย ถ้าเราไม่มีลิ้น เราก็พุดไม่ชัด และทานอาหารลำบาก แต่นอกจากนี้ยังลิ้นยังบอกโรค บอกความผิดปกติในร่างกายของเราได้ด้วย

ลิ้นแบบไหน? เป็นโรคอะไร?
  1. ผิวลิ้นหนา
ผิวลิ้นหนา ไม่ได้หมายถึงขนาดของลิ้นทั้งลิ้นที่หนา แต่หมายถึงขนลิ้นเล็กๆ บนลิ้นที่มีความหนา และยาวมากเกินไป จนทำให้อาหารที่ทานเข้าไปติดบนลิ้นได้ง่าย สังเกตได้จากสีของลิ้นที่เปลี่ยนไปตามสีของอาหารที่ทาน และมักถูกเคลือบไปด้วยคราบขาว เหลือง หรือเทาอยู่ตลอดเวลา เมื่อกอของขนลิ้นมีความหนา และมีเศษอาหาร อาจทำให้เกิดแบคทีเรียสะสม จนมีอาการไม่สบายลิ้น รับรู้รสได้ไม่ชัดเจนเท่าที่ควรจะเป็น คันลิ้น หรือมีกลิ่นปากได้ ทางแก้ง่ายๆ คือ แปรงลิ้นทุกครั้งที่แปรงฟัน และงดการสูบบุหรี่

  1. ขอบลิ้นหยัก
ลิ้นของบางคนจะมีรอยหยักที่ขอบลิ้น มาจากหลายสาเหตุ เช่น ลิ้นใหญ่จนไปดันฟันบ่อยๆ จนลิ้นมีรอยหยักเป็นรูปฟัน หรือพฤติกรรมในการกลืนที่ผิดปกติ เอาลิ้นดันฟันขณะเคี้ยวหรือกลืนบ่อยๆ นอกจากนี้หากลิ้นบวมอักเสบจนไปดันฟันจากด้านใน จนเป็นรอยหยักของฟัน ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน (แต่อาจเป็นรอยหยักชั่วคราว) ลิ้นแบบนี้ไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่หากมีอาการติดเชื้อ หรืออักเสบให้รีบพบแพทย์

  1. ลิ้นแผนที่
หมายถึงอาการที่หลังลิ้น หรือด้านข้างของลิ้น มีขนสลับกับผิวเรียบลื่น มองดูคล้ายแผ่นที่ โดยรอยแผนที่นี้จะไม่ได้อยู่ถาวร สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปได้เรื่อยๆ สาเหตุของลิ้นก็ไม่เป็นที่แน่ชัด อาจมาจากอารมณ์ที่แปรปรวน ขาดสารอาหาร พันธุกรรม หรือเกิดร่วมกับโรคของระบบร่างกายอื่นๆ เช่น โรคที่เกี่ยวกับเลือด และหอบหืด ลิ้นลักษณะนี้ไม่ได้มีอันตรายใดๆ เช่นกัน แต่บางคนอาจรู้สึกว่ารับรู้รสได้ไม่ดีพอ สามารถปรึกษาทันตแพทย์เพื่อเขารับการรักษาได้
  1. ผิวโคนลิ้นอักเสบ
โคนลิ้นจะมีตุ่มลิ้นที่มีขนาดใหญ่กว่าขนลิ้นด้านปลายลิ้น และตุ่มเหล่านี้มีเนื้อเยื่อภายในของระบบน้ำเหลืองอยู่ด้วย หากเกิดการอักเสบ หรือการเสียดสีจากอาหารที่ทานเข้าไป อาจมีอาการอักเสบบวมโตจนรู้สึกเจ็บ  หรืออาจจะเจ็บจากการติดเชื้อของทางเดินหายใจ คอ หรือต่อมทอลซิลได้เช่นกัน โดยอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดง รู้สึกถึงรสปร่าๆ ในปาก และลำคอ รักษาได้โดยลดการเสียดสีบริเวณโคนลิ้นจากฟันคมๆ ในปากของเราเอง หรือขอบฟันปลิมที่หลวม ไม่พอดีกับปากและเหงือก และลดการอักเสบด้วยยา

  1. ผิวลิ้นลูกกอล์ฟ
ลิ้นจะมีลักษณะเป็นหลุมเล็กๆ ครึ่งวงกลมกระจายไปทั่วหลังลิ้น คล้ายกับผิวของลูกกอล์ฟ โดยเป็นลักษณะลิ้นของคนที่สูบบุหรี่จัด ลักษณะได้ง่ายๆ โดยลดการสูบบุหรี่ และทำความสะอาดลิ้นเป็นประจำ

  1. ผิวกลางลิ้นอักเสบ
ใจกลางของหลังลิ้นมีลักษณะเรียบลื่น มีขนลิ้นน้อย รูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมเพชรขนาด 1-2 เซนติเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการแสบเมื่อทานอาหารรสจัด  โดยอาจมีสาเหตุมาจากการอักเสบของขนลิ้นบริเวณนั้น ขนลิ้นสั้นผิดปกติ สูบบุหรี่ หรือพบเชื้อราบนลิ้น หากพบเชื้อราควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ และรักษาความสะอาดของลิ้นอยู่เสมอ
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ใช้ "ถุงยางอนามัย" ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ทำไมยังท้องได้?


การคุมกำเนิดแบบที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด และเป็นหนึ่งในวิธีที่ป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นการใช้ “ถุงยางอนามัย” เพราะนอกจากจะมีผลข้างเคียงน้อย ใช้สะดวก และมีให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย หาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปแล้ว การใช้ถุงยางอนามัยยังหนึ่งในความรับผิดชอบของผู้ชายที่ในประเทศไทยเคยมีการรณรงค์กันอย่างเปิดเผยว่า “ยืดอก พกถุง” เพื่อให้ชายไทยพกถุงยางติดตัว และอย่าเขินอายที่จะไปซื้อไปหามาใช้
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า ในบางกลุ่มยังมีค่านิยมในการไม่ใช่ถุงยางอนามัย เพราะประมาทว่าไม่หลั่งในจะทำให้ไม่ท้อง แต่โอกาสที่อสุจิจะเล็ดลอดออกมาระหว่างมีเพศสัมพันธ์นั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ได้ เฉกเช่นเดียวกับการใช้ถุงยางอนามัย ที่ถึงแม้ว่าจะโฆษณากันมากมายว่าช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ แต่ก็ขอให้ทราบเอาไว้ว่า ถุงยางอนามัย ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100%

ใช้ถุงยางอนามัย มีโอกาสตั้งครรภ์หรือไม่?
ถุงยางอนามัยส่วนใหญ่ผลิตจากยางธรรมขาติ โพลียูรีเทน หรือลำไส้ลูกแกะ ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมใช้แบบที่ทำจากยางธรรมขาติ โพลียูรีเทนมากกว่า หากใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี โอกาสในการตั้งครรภ์ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ราว 2% เท่านั้น แต่หากเป็นการใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่ถูกต้อง จะเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้มากถึง 18% เลยทีเดียว
ใช้ถุงยางอนามัย อาจเสี่ยงตั้งครรภ์ หากคุณ...
  1. ใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่เหมาะสมกับขนาดอวัยวะเพศของคุณ เล็กไป ใหญ่ไป
  2. ถุงยางอนามัยฉีกขาด หรือมีรอยรั่ว จากการดึงถุงยางออกมาจากห่อโดยไม่ระมัดระวัง หรือถุงยางอนามัยชำรุด เก็บไว้นาน หรือเก็บในที่ๆ เสี่ยงต่อการถูกทำให้เป็นรอย
  3. ไม่สวมถุงยางอนามัยตลอดการมีเพศสัมพันธ์ ตั้งแต่ต้นจนจบ และทุกครั้งที่มีการสอดใส่ โดยอาจเผลอใส่ถุงยางอนามัยหลังจากมีการสอดใส่ไปแล้ว หรือถอดถุงยางอนามัยก่อน ทุกครั้งที่มีการสอดใส่ น้ำอสุจิสามารถไหลออกมาพร้อมน้ำหล่อลื่นได้ทุกเมื่อ
  4. ถุงยางอนามัยหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือในช่วงของการสอดเข้า-สอดออก
  5. เก็บถุงยางอนามัยเอาไว้ในที่ๆ ร้อน ชื้น โดนแสงแดด รวมไปถึงการเก็บถุงยางอนามัยเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ ความร้อน และการถูกกดทับ อาจทำให้ถุงยางอนามัยขาด หรือเสื่อมสภาพได้

ดังนั้นขอให้คุณผู้ชาย (หรือคุณผู้หญิงที่เตรียมถุงยางอนามัยเอาไว้ในยามฉุกเฉิน) เก็บรักษาถุงยางอนามัยให้ดี อย่าเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ที่เล็ก และมีการเสียดสี กดทับตลอดเวลา เลือกขนาดของถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับขนาดของอวัยวะเพศ และใช้ถุงยางอนามัยตั้งแต่ก่อนสอดใส่ ไปจนถึงเสร็จกิจ ไม่มีเหตุถถุงยางอนามัยหลุดขณะมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นในข้อใดข้อหนึ่ง ฝ่ายหญิงสามารถกินยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินได้ (แต่ไม่ควรทานบ่อย) และอาจทานยาคุมกำเนิด (แบบปกติ) ควบคู่ไปกับการใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยก็ได้
ที่มา:sanook

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561

“ท่อปัสสาวะอักเสบ” จากสายชำระในห้องน้ำ อันตรายที่ผู้หญิงควรระวัง


หากใครได้อ่านประสบการณ์ตรงของผู้ใช้งาน Twitter ชื่อว่า fernnnfernnfern.com เล่าถึงอาการปลายท่อปัสสาวะอักเสบจากการใช้สายชำระในห้องน้ำสาธารณะที่ไม่คุ้นเคย และมีแรงดันน้ำสูงเกินไป จนทำให้บริเวณที่โดนแรงดันน้ำอัดจนเกิดอาการเจ็บแสบอยู่หลายวัน และเมื่อตรวจกับแพทย์จึงพบว่า ปลายท่อปัสสาวะอักเสบจากแรงดันน้ำที่มากเกินไปของสายชำระ อาจจะรู้สึกถึงอันตรายของสายชำระเรียบร้อยแล้ว
เราเองพอได้อ่าน ก็พาลให้นึกถึงประสบการณ์ตรงของเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันในหอพัก หลังใช้ห้องน้ำเสร็จเธอก็ออกมาบ่นอุบว่า สายชำระในห้องน้ำจะแรงไปไหน (แซวตัวเองเบาๆ ว่า “ถึงกับสะดุ้ง”) แม้ว่าครั้งนั้นเพื่อนจะโชคดีรอดตัวจากอาการอักเสบอันทรมาน แต่เราก็เชื่อว่าน่าจะมีสาวๆ อีกหลายคนเคยมีประสบการณ์คล้ายๆ กันมาบ้าง เลยอยากจะออกมาเตือนถึงอันตรายจากสายชำระกันสักเล็กน้อย
สายชำระในห้องน้ำ ปลอดภัยต่อสุขภาพหรือไม่?
อย่างที่ทราบกันแล้วว่าสายชำระที่แรงดันน้ำสูงเกินไป อาจทำให้ผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อที่ละเอียดอ่อนในบริเวณจุดซ่อนเร้นอักเสบได้ แต่นอกจากเรื่องของความดันน้ำแล้ว สายชำระที่ไม่สะอาด ก็อาจทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบได้เช่นกัน
ในปี 2555 กรมอนามัยได้สุ่มสำรวจห้องส้วมสาธารณะ เช่น ปั้มน้ำมัน วัด พบว่าจุดที่มีการปนเปื้อนอุจจาระมากที่สุด คือ ที่จับสายฉีดน้ำชำระ โดยพบมากถึงร้อยละ 85 ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า การใช้สายชำระที่มีการปนเปื้อนอุจจาระ อาจทำให้เราติดโรคจากแบคทีเรีย เชื้อไวรัสต่างๆ ที่มาพร้อมกับอุจจาระได้ เช่น เชื้อโคลิฟอร์ม หรือเชื้ออิโคไล ที่อาจทำให้เกิดโรคกรวยไตอักเสบได้
อย่างไรก็ตาม ศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ชัยศิลป์วัฒนา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า โอกาสที่ผู้หญิงจะติดเชื้อโรคจากสายชำระในห้องน้ำมี "น้อยมากๆ" เพียงร้อยละ 5-7 เท่านั้น แต่ก็สามารถเป็นได้ ถ้าคนคนนั้นมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาทิ เคยมีประวัติเป็นโรคเรื้อรัง ใช้น้ำยาล้าง ใช้แผ่นอนามัย ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ดูแลตามธรรมชาติโดยใช้น้ำเปล่าดีที่สุด
คุณหมอยังระบุอีกว่า ส่วนใหญ่ที่มีการติดเชื้อ มักเกิดขึ้นจากความรักสวยรักงามใช้น้ำเปล่าล้างไม่พอ ต้องไปซื้อน้ำยามาล้างให้สะอาดมากขึ้น แล้วน้ำยาก็มาทำลายแบคทีเรียตัวที่ป้องกันเชื้อโรคในช่องคลอด หรือปล่อยให้ระบายอากาศดีๆ ไม่ชอบ ไปหาแผ่นอนามัยมาใช้ ใส่กางเกงชั้นในสเตย์ฟิตๆ กางเกงยีนหนาๆ ให้อบ แฉะ อึดอัด ไม่มีอากาศระบาย

วิธีลดความเสี่ยงในการเกิดอาการท่อปัสสาวะอักเสบ
  1. อย่าลืมทดสอบการทำงานของสายชำระก่อนใช้จริงทุกครั้ง ทั้งเป็นการเช็กก่อนว่าสายชำระทำงานปกติดีไหม มีน้ำไหลออกมาหรือเปล่า น้ำที่ไหลออกมาสะอาดไหม และแรงดันของน้ำอยู่ในระดับปกติหรือไม่
  2. ไม่ฉีดน้ำเข้าไปที่ท่อปัสสาวะโดยตรง ควรเลือกฉีดน้ำแบบผ่านๆ ฉีดในมุมเฉียงลง มากกว่าจะจ่อเข้าไปที่บริเวณนั้นโดยตรง
  3. หากไม่มีสายชำระ หรือสายชำระดูสกปรกไม่น่าใช้ สามารถใช้กระดาษชำระ หรือทิชชู่เปียกซับเบาๆ จากด้านหน้าไปด้านหลัง เช็ดทีเดียวแล้วทิ้ง เปลี่ยนแผ่นใหม่ทันที ไม่ใช้แผ่นเดิมเช็ดซ้ำ
  4. ลดการใช้แผ่นอนามัย ไม่ควรใช้ทุกวัน เพราะอาจทำให้เกิดการอับชื้นได้
  5. เปลี่ยนกางเกงในทุกวัน ทุกครั้งหลังอาบน้ำ
  6. ลดการสวมใส่กางเกงรัดรูป หรือเนื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ เพราะอาจทำให้อับชื้น และเกิดการเสียดสีได้
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สมุนไพรลดไขมัน 5 สมุนไพรไทย ช่วยลดคอเลสเตอรอล


คอเลสเตอรอลเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคอ้วน ไขมันอุดตันเส้นเลือด ไขมันพอกตับ และอื่นๆ ดังนั้นการลดคอเลสเตอรอลจึงเป็นหนึ่งในหนทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายเหล่านี้ตั้งแต่ต้น
นอกจากจะต้องลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันเลวเป็นจำนวนมากแล้ว การรับประทานพืชสมุนไพรไทยดีๆ ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ควรลอง เพราะนอกจากสมุนไพรเหล่านี้จะให้กลิ่น และรสชาติที่ดีแล้ว ยังราคาถูก และหาซื้อทานได้ง่ายอีกด้วย
 

5 สมุนไพรช่วยลดไขมัน

  1. กระเทียม

กลิ่นฉุนๆ ของกระเทียม เมื่อทำมาประกอบอาหาร จะให้รสชาติที่จัดจ้านถึงใจ และเป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆ คน กระเทียมช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการทานสดๆ หรือนำไปประกอบอาหารกลีบโตๆ แต่ทานมากระวังจะมีกลิ่นปาก และกลิ่นตัวได้

  1. หอม

เคียงคู่มากับกระเทียม ก็คือ หอม ไม่ว่าจะเป็นหอมแดง หรือหอมหัวใหญ่ ต่างก็ช่วยลดคอเลสเตอรอล สลายไขมัน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นท้อง บรรเทาอาการหวัด ภูมิแพ้ หอบหืด และช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี

  1. กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดงช่วยเพิ่มระดับไขมันดี ลดไขมันเลวในเลือดให้ลดลง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ช่วยทำให้ชุ่มคอ และคลายร้อนได้ดี

  1. เสาวรส

เสาวรสช่วยลดไขมันในเลือด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา แก้อาการนอนไม่หลับ รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และอุดมไปด้วยวิตามินซี จึงช่วยป้องกันหวัดได้อีก

  1. ขิง

ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่มีรสเผ็ดร้อน ช่วยกระตุ้นการสลายของไขมัน และลดคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี สามารถทานสดๆ หรือนำไปต้มแล้วดื่มน้ำเอาก็ได้ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน และคลื่นไส้อาเจียนได้
ที่มา:sanook