วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

10 ประโยชน์ดีๆ ของ “มะระ” ขมแต่ดีจริง


แฟนเพลงของ พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย ทราบกันดีว่าพี่เบิร์ดชอบดื่มน้ำมะระขี้นกปั่นทุกเช้า นี่อาจจะเป็นเคล็ดลับของความหน้าเด็ก และแข็งแรงของพี่เค้าก็อาจจะเป็นได้ (ดูสิ คนทั้งประเทศยังเรียกเขาว่าพี่อยู่เลย) แต่จริงๆ แล้วมะระไม่ได้มีประโยชน์แค่นั้นนะ อยากชวนทุกคนมาทานมะระกันเยอะๆ จะได้สุขภาพแข็งแรงตามประโยชน์ 10 ข้อนี้เลย!

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

6 ประโยชน์ดีๆ จาก "แคร์รอต" บำรุงสายตา-ป้องกันมะเร็ง


แคร์รอต เป็นผักเนื้อแข็ง กรอบ และรสชาติหวาน สามารถกินได้ง่ายๆ แล้วยังเต็มไปด้วยสารอาหารและมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิดไว้อีกนะ

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อาการเริ่มต้น ของคนที่ติด “คาเฟอีน”


กาแฟ และพนักงานออฟฟิศ ไม่รู้ว่าเป็นของคู่กันตั้งแต่เมื่อไร แต่ไม่ว่าร้านกาแฟจะเปิดสักกี่ร้าน หากตั้งอยู่บริเวณออฟฟิศ สำนักงานต่างๆ รับรองว่าถ้าไม่ทำรสชาติแย่ หรือขายแพงจนเกินไป รับรองว่าลูกค้าเนืองแน่นทุกวันแน่นอน บางคนอ้างว่าง่วง เลยต้องการคาเฟอีนมาทำให้ตื่น แต่บางคนก็เดินเข้าไปซื้อโดยอัตโนมัติเหมือนแก้วกาแฟเป็นอวัยวะที่ 33 ไปแล้ว

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ติดรส หวาน มัน เค็มมากไป ระวัง "โรคหัวใจ"


พฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนในปัจจุบัน มักเน้นรสชาติที่ถูกปาก เมนูหน้าตาถูกใจ สีสันชวนน่ารับประทาน โดยเฉพาะรสหวาน มัน เค็ม ที่เรียกได้ว่าเป็นรสชาติยอดนิยมของคนไทย แต่กลับส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากขาดการควบคุมและบริโภคเกินพอดี

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อันตรายที่คุณอาจไม่รู้! หากกินโปรตีนมากเกินไป


ไม่ว่าคุณจะเป็นสายเนื้อ สายปิ้งย่าง สายบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ อาหารญี่ปุ่น หรือจะเป็นนักเพาะกายที่ทานเวย์โปรตีนเสริม คุณอาจเสี่ยงบริโภคโปรตีนมากเกินความจำเป็น และแน่นอนว่าอะไรที่มากเกินไปก็ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกาย
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเจ้าโปรตีนให้ดีขึ้นอีกสักนิดกันค่ะ

โปรตีน คืออะไร?

เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กว่า โปรตีนเป็นเป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ เป็นหนึ่งในสารอาหารที่อยู่ใน 5 หมู่ และมักพบตามอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ เป็นต้น
โปรตีนสำคัญต่อร่างกาย เพราะโปรตีนเป็นส่วนประกอบของเซลล์ เป็นสารเคมีที่ใช้ในการสื่อสารของเซลล์ในร่างกาย สร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง เป็นส่วนประกอบของเลือด ช่วยให้เลือดอยู่ในระดับปกติ หากมีโปรตีนในร่างกายเพียงพอก็จะไม่ทำให้เราเป็นโลหิตจาง ตัวเหลือง หรือดีซ่าน
ส่วนประโยชน์ของโปรตีนที่นักเพาะกาย คนชอบออกกำลังกายทราบกันดีคือ โปรตีนช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกันโรค และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ยิ่งใครเป็นแผลยิ่งต้องทาน เพื่อช่วยให้แผลสมานตัว และหายได้เร็วขึ้น

whey-protein

ภาวะขาดโปรตีน

แม้ในสมัยนี้จะพบเจอเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่อยู่ในภาวะขาดโปรตีน หรือทานโปรตีนไม่เพียงพอได้ยาก เพราะเนื้อสัตว์ นม หรือไข่ในบ้านเราไม่ได้มีราคาสูงเกินเอื้อม และส่วนใหญ่ชาวบ้านที่ยากจนมักจะอยู่ในเกณฑ์ขาดสารอาหารที่มีประโยชน์โดยรวมเสียมากกว่า แต่หากในร่างกายมีปริมาณโปรตีนไม่เพียงพอจริงๆ อาจทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยง่าย ร่างกายห่อเหี่ยวไม่มีแรง ไม่กระฉับกระเฉง คิดช้า สมองทำงานช้า และเข้าสู่วัยชราภาพก่อนวัยอันควร โดยอาจดูที่ผิวหนังที่เหี่ยวย่น ริ้วรอยถามหา ผมร่วง เล็กเปราะบาง รวมไปถึงการทำงานของระบบร่างกายภายในที่ไม่สมบูรณ์

ภาวะโปรตีนมากเกินไป

จริงๆ แล้วโปรตีนมีทั้งแบบที่ร่างกายสร้างได้เอง และจากอาหารที่เราทานเข้าไป ดังนั้นหากเราประโคมทานโปรตีนมากจนเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะคุณผู้ชายที่ทานเวย์โปรตีนเสริมเพื่อการออกกำลังกายให้ได้กล้ามแน่นๆ หากทานโปรตีนมากเกินไป ตับและไตต้องทำงานหนักเพื่อขับเอาโปรตีนส่วนเกินออกจากร่างกาย
ในช่วงแรกๆ ตับและไตอาจทำงานได้ดี แต่หากยังทานโปรตีนมากเกินความจำเป็นซ้ำๆ จนตับและไตทำงานหนักมากเกินไป อาจเสี่ยงภาวะเลือดเป็นกรด ตับและไตเสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิม แล้วจะเริ่มขับโปรตีนส่วนเกินออกจากร่างกายไม่ทัน โปรตีนอาจถูกส่ลกลับไปที่ลำไส้ใหญ่ และถูกแบคทีเรียเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นแอมโมเนีย และถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะซึม ชัก หมดสติ สมองเสื่อม หรือตับ/ไตเสื่อม ตัว/ตาเหลือง หรือเป็นดีซ่านได้

protein

ทานโปรตีนอย่างไรให้พอดีต่อความต้องการของร่างกาย

ง่ายที่สุดคือการจำกัดอาหารที่ทานให้ได้ 5 หมู่ต่อ 1 มื้อ ไม่ทานแต่สารอาหารใดสารอาหารหนึ่งมากเกินไป แบ่งสัดส่วนของอาหารหนึ่งจานให้มีโปรตีน 30% คาร์โบไฮเดรต 20% เกลือแร่ 20% วิตามิน 20% และไขมัน (ดี) 10% เลือกโปรตีนที่ดีในการทาน โดยเป็นเนื้อสัตว์ ไข่ และอื่นๆ ที่มีโปรตีนโดยผ่านการปรุงสุกด้วยวิธีต้ม ตุ๋น นึ่ง มากกว่าผัด ทอด และเอาหนังออก
ส่วนคนที่ทานเวย์โปรตีนเพื่อการเพาะกล้าม ควรทานก่อนออกกำลังกาย และทานในสัดส่วนที่ระบุเอาไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด อย่ากำหนดสัดส่วนเอาเอง และรักษาสมดุลในการทานโปรตีนในแต่ละวันให้ดี อย่าเผลอทานแต่เวย์โปรตีน หรือไข่ขาวจนทานอาหารประเภทอื่นไม่เพียงพอ

ไม่ว่าอย่างไรร่างกายก็ต้องการความสมดุลนะคะ ควรทานอาหารให้หลากหลาย โปรตีนเองก็ควรทานจากอาหารหลายๆ ประเภท ทั้งหมู ไก่ ปลา นม ไข่ ถั่วประเภทต่างๆ เห็ดประเภทต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมายให้เราได้เลือกทาน เพื่อคุณค่าทางสารอาหารที่ได้รับให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ร่างกายที่แข็งแรงก็เป็นของคุณได้ง่ายๆ แล้วล่ะค่ะ
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ รวมเชื้อโรคอันตรายกว่าโถส้วม!


ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนส่วนใหญ่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ทุกวัน ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานออฟฟิศ ทำงานราชการ ฟรีแลนซ์ หรือแม้กระทั่งการใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อความบันเทิง แต่จำได้หรือเปล่าว่า ครั้งสุดท้ายที่ทำความสะอาดคีย์บอร์ด หรือแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ คือตอนไหน?

ลองส่องดูคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ของคุณดูตอนนี้สิ...

หากพบเจอฝุ่น คราบสกปรก เศษกระดาษ หรือแม้กระทั่งคราบซอส ครอบพริกเกลือทีเคยทำหกใส่คีย์บอร์ดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าคุณกำลังเพาะพันธุ์เชื้อโรคบนคีย์บอร์ดของคุณเอง เมื่อคุณจิ้มๆ ปุ่มเสร็จ คุณก็หันไปหยิบอาหารใส่ปาก เชื้อโรคต่างๆ ก็เข้าสู่ร่างกายคุณอัติโนมัติ

อันตรายจากคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ที่สกปรก

คีน์บอร์ดคอมพิวเตอร์ของคุณอาจตรวจพบเจอเชื้อโรคที่มีชื่อว่า “เอ็นเทอโรค็อกคัส ฟีเชียม” ที่อาจทำให้เกิดอาการติดเชื้อในช่องท้อง และอวัยวะขับถ่าย เป็นเหตุให้มีอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรืออาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอื่นๆ ร่วมด้วย มีความเสี่ยงเป็นโรคปอดบวม หรือถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดเลยทีเดียว

 

วิธีทำความสะอาดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์

ไม่เพียงแต่ปัดฝุ่นออกเท่านั้น แต่ควรใช้ผ้าหรือสำลี ชุบน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือแอลกอฮอล์ เช็ดทำความสะอาดปุ่มคีย์บอร์ดด้วย หากสามาถแกะปุ่มคีย์บอร์ดออกมาทำความสะอาดได้ก็จะสะอาดยิ่งขึ้น อย่าให้มีอะไรไปตกค้างในปุ่มคีย์บอร์ดมากนัก และควรทำความสะอาดคีย์บอร์ดเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค และแบคทีเรียต่างๆ

ขอเสริมอีกนิดว่า หากจะทำความสะอาดคีย์บอร์ดแล้ว ควรทำความสะอาดส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ ทั้งหน้าจอ เม้าส์ แผ่นรองเม้าส์ และปากกาวาดรูปไปด้วย เพราะเป็นสิ่งที่เราใช้คู่กันตลอด จะได้สะอาดครบวงจรไปเลยทีเดียวค่ะ
ที่มา:sanook

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อาหารที่เหมาะสม สำหรับผู้ป่วย "เบาหวาน"


สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ แนะหลักในการบริโภคอาหารและแนวทางปฏิบัติเพื่อผู้ป่วยสามารถควบคุมเบาหวานได้ด้วยตนเอง

เบาหวาน โรคที่ต้องควบคุมอาหารเป็นพิเศษ

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยว่า เบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้รับจากอาหารมาเป็นพลังงานได้จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และหากมีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานโดยไม่ควบคุมอาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น อาการชาปลายมือปลายเท้า จอประสาทตาเสื่อม ไตวาย รวมถึงโรคหัวใจ และหลอดเลือด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เบาหวานจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุดได้ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสมรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และใช้ยาตามคำสั่งแพทย์เพื่อลดความรุนแรงของโรคและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานที่จะเกิดในอนาคต

อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

แพทย์หญิงวิพรรณ สังคหะพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาหารมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานควรเลือก/ไม่เลือกรับประทานอาหารดังนี้
  1. ผลไม้หวานน้อย เช่น แอปเปิ้ล สาลี่ ชมพู่
  2. หลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัดและผลไม้แปรรูปทุกชนิด
  3. รับประทานผักใบเขียวมากกว่าผักประเภทหัว เช่น ฟักทอง ข้าวโพด เผือก มัน เนื่องจากมีแป้งอยู่ปริมาณมาก หากรับประทานพืชหัวเหล่านี้ ควรลดอาหารประเภทข้าว/แป้งอื่นๆ
  4. สามารถเพิ่มรสชาติ โดยใช้สมุนไพร พริกไทย ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว ในการชูรสอาหารแทนเครื่องปรุงรสอย่าง น้ำปลา น้ำตาล ซีอิ้วขาว เกลือ และอื่นๆ
  5. ควรรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย ไม่ติดมันและหนัง เช่น เนื้อปลาไข่ขาว เต้าหู้
  6. ควรหลีกเลี่ยงขนมหวานทุกชนิด เช่น ขนมราดหน้าด้วยกะทิ
  7. ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงอย่าง น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ นมปรุงแต่ง และนมเปรี้ยวรสชาติต่างๆ

หากปฏิบัติตนตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้ร่างกายสามารถควบคุมเบาหวานให้ระดับน้ำตาลในเลือดใกล้เคียงปกติมากที่สุดและส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรง  
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

หมูกระทะ กับอันตรายที่มากกว่า “มะเร็ง”


“เย็นนี้ หมูกระทะกัน” เพื่อนๆ จะสังสรรค์กันทีไร ต้องหมูกระทะเท่านั้น เพราะนอกจากจะกินได้ไม่อั้น อิ่มยันพรุ่งนี้เช้าแล้ว ยังราคาย่อมเยา คิดราคาแล้วต้องรอง โอ้โห คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เลยทำให้หลายคนน้ำหนักขึ้นจากเมนูนี้ได้ไม่ยาก
แต่อันตรายไม่ได้มาแค่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น แต่หากไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจจนทานมากเกินไป จะส่งผลเสียให้กับร่างกายมากกว่าโรคที่ใครหลายคนทราบดีอย่าง “มะเร็ง” อีกด้วย

อันตรายจากหมูกระทะที่ไมได้มาตรฐาน

1. เนื้อหมู

ใครที่ชอบทานหมู จะเห็นได้ว่าหมูในร้านหมูกระทะหมักมาเรียบร้อยแล้ว แต่หมูเหล่านี้หากรับซื้อมาจากผู้ผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน แล้วยังปิ้งย่างไม่สุก 100% ทานเข้าไปอาจมีความเสี่ยงรับเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ โดยจะมีอาการคือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ อาเจียน หูหนวก ชัก หรืออาจเป็นอัมพาต บางรายอาจปอดอักเสบ สายตาพร่ามัว และหูหนวกได้ นอกจากนี้ยังมีเชื้อโรคอื่นๆ อีกเพียบ หากทานโดยใช้ความร้อนที่ไม่มากเพียงพอที่จะฆ่าเชื้อโรคเหล่านั้นได้

2. ผ้าขี้ริ้ว

หลายคนชอบส่วนของ ผ้าขี้ริ้ว มาก ยิ่งสีขาวๆ ยิ่งน่ากิน แต่อันที่จริงแล้วผ้าขี้ริ้วมีสีค่อนข้างดำเข้ม (จึงมีชื่อว่าผ้าขี้ริ้ว) แต่กว่าจะเป็นสีขาวหน้าตาน่ารับประทาน ก็ต้องผ่านการฟอกมาก่อน ซึ่งเจ้าสารฟอกขาวนี่แหละค่ะที่อาจตกค้างจนทำให้ผู้ที่ทานเข้าไปมีอาการหายใจติดขัด ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง อาเจียน ท้องร่วง ยิ่งคนที่มีอาการแพ้ต่อสารฟอกขาวด้วย หรือผู้ป่วยที่มีโรคหอบหืดเป็นโรคประจำตัวด้วยแล้ว จะยิ่งมีอาการที่แย่ลง อาจจะช็อค หมดสติ หรือถึงขั้นเสียชีวิต (หากทานเข้าไปมากๆ) ได้เลยทีเดียว

3. อาหารทะเล

อย่างที่หลายคนเคยทราบกันว่าหากเป็นแหล่งจำหน่ายอาหารทะเลที่ไม่ได้คุณภาพ อาจมีการรักษาความสดของอาหารทะเลด้วยการใช้ฟอร์มาลีน หากเราทานอาหารทะเลที่มีฟอร์มาลีนเป็นสารตกค้างมากๆ อาจส่งผลต่อการทำงานของไต หัวใจ หรืออาจเป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อมได้เลยทีเดียว นอกจากนี้หากเรามีอาการแพ้สารดังกล่าว อาจทำให้เรามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียน หมดสติ จนถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน

4. อาหารแปรรูป

หลายคนชอบทานไส้กรอก ลูกชิ้นต่างๆ ซึ่งอาจมีสารบอแรกซ์เป็นส่วนผสม เพื่อทำให้อาหารเหล่านั้นกรอบอร่อย หากเรารับสารเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต จนอาจทำให้ไตวาย หรือกระทบกับการทำงานของสมองได้

กรมอนามัยระบุว่า การรับประทานอาหารปิ้งย่างหรือรมควันเป็นประจำจะเสี่ยงต่อการได้รับสารอันตราย 3 ชนิด

1. สารไนโตรซามีน (Nitrosamines)

สารไนโตรซามีน สามารถพบในปลาหมึกย่าง ปลาทะเลย่าง และในเนื้อสัตว์ที่ใส่สารไนเตรท ประเภทแหนม ไส้กรอก เบคอน แฮม ที่มีสีแดงผิดปกติ ทำให้เสี่ยงเป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร

2. สารไพโรไลเซต (Pyrolysates)

สารนี้พบมากในส่วนที่ไหม้เกรียมของอาหาร ปิ้ง ย่าง สารกลุ่มนี้บางชนิดมีฤทธิ์ร้ายแรงทางพันธุกรรมมากกว่าสารอะฟลาทอกซินตั้งแต่ 6-100 เท่า

3. สารพีเอเอช หรือสารกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon)

สารนี้เป็นชนิดเดียวกับที่เกิดในควันไฟ ไอเสียของเครื่องยนต์ ควันบุหรี่ และเตาเผาเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม โดยสารนี้จะพบในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารที่ปรุงด้วยการปิ้ง ย่าง หรือรมควัน ของเนื้อสัตว์ที่มีไขมันหรือมันเปลวติดอยู่ด้วย เช่น หมูย่างติดมัน ไก่ย่างติดมัน หากรับประทานเข้าไปเป็นประจำจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ ซึ่งจากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าในปี 2553 มีผู้ป่วยมะเร็งตับในประเทศไทย23,410 ราย และเสียชีวิต 20,334 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 55 คนต่อวัน หรือ 2 คนต่อชั่วโมง

ทานหมูกระทะอย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ

  1. รับประทานหมูกระทะแบบปิ้ง ย่าง ตามปกติการหั่นเนื้อมักไม่เท่ากัน บางชิ้นเนื้อหนา บางชิ้นเนื้อบาง การดูเพียงขอบนอกของเนื้อไหม้เกรียมอาจจะไม่ได้หมายความว่าเนื้อดังกล่าวสุก ควรใช้ช้อนหั่นเนื้อตรงกลางออก เพื่อตรวจสอบเนื้อสุกแล้วหรือไม่
  2. ควรมีการแยกตะเกียบหยิบชิ้นเนื้อปิ้งย่าง ออกจากตะเกียบรับประทาน เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
  3. ควรรับประทานอย่างช้าๆ เพื่อสังเกตว่าอาหารสุกหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่หมูกระทะมักรับประทานในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์ ทำให้คนรีบร้อนในการรับประทาน
  4. ในกรณีที่ทำทานเองที่บ้าน ควรมีการทำความสะอาดตะแกรงปิ้งย่างด้วยการแช่น้ำ หรือแช่น้ำยาชะล้าง ล้างและขัดให้สะอาด และนำมาผึ่งแดดอย่างน้อย 4 - 8 ชั่วโมง ก่อนนำกลับมาใช้ใหม่

ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าหมูกระทะทุกร้านจะอันตราย ห้ามทานกันไปหมดนะคะ เพียงแต่ก่อนทานควรเลือกร้านที่คุณภาพของอาหารดี สะอาด ถูกหลักอนามัย ราคาไม่ถูกมากจนน่ากลัว และที่สำคัญคือควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่เห็นแก่เงินจนทานเอาให้คุ้ม ไม่ทานบ่อยจนเกินไป เลือกทานทั้งเนื้อและผัก ทานให้หลากหลาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยค่ะ
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เคี้ยวหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล อาจเสี่ยง “ท้องเสีย” ได้


ข่าวล่ามาแรงที่ประเทศอเมริกาที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ตอยู่ในขณะนี้ คือ ข่าวที่ Sean Spicer โฆษกประจำทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์กับ Washington Post ว่าเขาติดหมากฝรั่งแบบ sugar-free หรือหมากฝรั่งแบบไม่มีน้ำตาลมาก โดยกินวันละ 35 แผ่นเลยทีเดียว ชาวอเมริกันหลายคนที่อ่านข่าวนี้ จึงสงสัยว่าการเคี้ยวหมากฝรั่งมากขนาดนั้นในวันเดียว ส่งผลกระทบอะไรต่อร่างกายหรือไม่
Roshini Rajapaksa นายแพทย์โรคทางเดินอาหาร ประจำศูนย์ Langone Medical Center ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค และบรรณาธิการเว็บไซต์ Health.com กล่าวว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งจำนวนมากในวันเดียว ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อร่างกาย หากแต่การเลือกเคี้ยวหมากฝรั่งแบบ sugar-free หรือสูตรไม่มีน้ำตาล ที่ใส่สารทดแทนความหวาน (ซอร์บิทอล) ในปริมาณมาก สารทดแทนความหวานนั้นอาจทำปฏิกิริยากับร่างกายคล้ายกับยาระบาย ที่อาจทำให้ท้องอืด รวมไปถึงท้องเสียได้
มีรายงานในปี 2008 จากทั้ง 2 กรณีศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ BMJ ว่า การบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลแบบซอร์บิทอล (sorbitol ที่พบมากในหมากฝรั่ง) ในปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร และน้ำหนักลดลงอย่างรุนแรง (ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย)
นอกจากนี้ยังพบรายงานจากกรณีศึกษาชิ้นหนึ่งในวารสาร Gastroenterology ในปี 1983 พบว่าผู้ที่บริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดซอร์บิทอลไปราว 10 กรัม ประสบปัญหาท้องอึด มีแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป และเมื่อเพิ่มปริมาณเป็น 20 กรัม ก็จะเริ่มมีอาการตะคริว และท้องเสีย (หมากฝรั่ง 1 แผ่น มีซอร์บิทอล 2 กรัมโดยประมาณ)

อย่างไรก็ตาม การบริโภคหมากฝรั่งที่มีซอร์บิทอล หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในปริมาณมาก จนอาจมีอาการท้องเสีย หรืออาการข้างเคียงอื่นๆ นั้น ไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว กล่าวคือ หากหยุดทาน สุขภาพก็จะกลับมาเป็นปกติได้
ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบกับปัญหานี้ เพราะซอร์บิทอลอาจส่งผลต่อร่างกายของคนทุกคนไม่เหมือนกัน หากคุณทานอาหาร ขนม หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานชนิดซอร์บิทอลเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเลย ก็ถือว่าโชคดีไป และไม่มีอะไรที่ต้องกังวล แต่หากคุณมีอาการอย่าง ตะคริว ท้องเสีย หรือท้องอืด อย่างไม่ทราบสาเหตุ ลองสังเกตตัวเองดูว่าทานอาหารเหล่านี้มากเกินไปหรือไม่ เช่น หมากฝรั่ง น้ำอัดลม ผลไม้ตากแห้ง ลูกอม แบบ sugar-free หรือสูตรไม่มีน้ำตาล (แล้วใส่สารเพิ่มความหวานแทน)

ความรู้เพิ่มเติม
หากกลืนหมากฝรั่งลงไปในท้อง จะเกิดอะไรขึ้น?
หากเผลอกลืนหมากฝรั่งลงไปในท้องจำนวนเล็กน้อย และบังเอิญโชคดีที่หมากฝรั่งไปไม่ได้เข้าไปอุดตันที่ส่วนไหนในร่างกาย ก็คงไม่มีปัญหาอะไรมาก อาจจะลูกลำเลียงลงลำไส้ใหญ่ไปภายใน 1-3 วันโดยประมาณ แต่หากกลืนหมากฝรั่งเข้าไปในท้องจำนวนมาก หมากฝรั่งอาจรวมตัว และถูกบีบอัดจนกลายเป็นก้อน หรือสิ่งแปลกปลอมที่อาจอุดตันทางเดินอาหารได้ ซึ่งอาจเข้าไปขัดขวางการทำงานของระบบย่อยอาหาร และทำให้ระบบย่อยอาหารมีปัญหาได้
ที่มา:sanook

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

4 โรคร้ายรักษาได้ด้วย “มะเขือพวง”


มะเขือพวงอยู่คู่กับคนไทยเรามานาน ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น แกงเนื้อ แกงเขียวหวาน แกงป่าหรือจะเอาไปทำน้ำพริกก็ไม่เลวนะ ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริกกะปิ น้ำพริกแมงดา น้ำพริกกุ้งสด แค่พูดขึ้นมาก็น้ำลายสอกันแล้วล่ะสิ นอกจากความอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณสามารถต้านโรคต่างๆ ได้ด้วยนะ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอะไรตามมาเลย

1. โรคเบาหวาน

มีการศึกษาวิจัยพบว่า เครื่องดื่มน้ำมะเขือพวงสามารถลดระดับอนุมูลอิสระในเลือดของหนูที่เป็นโรคเบาหวานได้ ทำให้ไขมันไม่ดี และระดับน้ำตาลในเลือดลดลง  ดังนั้นการให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานมะเขือพวงระหว่างการรักษาจะช่วยได้มากเลยทีเดียว

2. โรคความดันโลหิตสูงและปัญหาเกล็ดเลือด

งานวิจัยในแคเมอรูนพบว่า เมื่อนำมะเขือพวงสกัดผสมแอลกอฮอล์มาทดลองกับหนู ปรากฎว่าอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตลดลง พร้อมทั้งยังสามารถหยุดการรวมตัวของเกล็ดเลือดด้วย ดังนั้งจึงช่วยให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและปัญหาเกล็ดเลือดมีอาการที่ดีขึ้นได้

 

3. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

ในปีพ.ศ. 2551 มีงานวิจัยนำมะเขือ 11 ชนิดในประเทศไทยมาสกัดหาสารต้านอนุมูลอิสระ ผลปรากฎว่า มะเขือพวงมีสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุดในบรรดามะเขือทุกชนิด

4. แผลในกระเพาะอาหาร

ในปี 2551 กลุ่มวิจัยในประเทศแคเมอรูนพบว่า มะเขือพวงสามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ เพราะในมะเขือพวงมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และไทรเทอร์พีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารจากแอลกอฮอล์หรือความเครียดได้

สมุนไพรของไทยเรานี่ มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นแถมยังราคาถูก สรรพคุณก็เหลือล้นเลยทีเดียว น่าเสียดายแย่ ถ้าจะเขี่ยเจ้ามะเขือพวงอันจิ๋วนี้ออก ใครที่ไม่เคยกินหรือไม่ชอบ หันมาลองกินดูสักนิด จิ้มกับน้ำพริกกะปินี่ แซ่บอย่าบอกใครเชียว
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Power Gel อาหารมื้อแรกๆ ของ #ทีมหมูป่า ให้พลังงานได้ใน 5-10 นาที


หลังจากที่หลายคนน่าจะทราบกันแล้วว่า คนที่อดอาหารมานานๆ ไม่สามารถทานอาหารตามปกติได้เลย เพราะอาจส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นอาหารที่คนอดอาหารมานานควรทานเป็นมื้อแรกๆ ควรจะเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ย่อยง่าย ดูดซึมง่าย ใครที่อยู่วงการกีฬาจึงน่าจะคิดถึง Power Gel หรือ Energy Gel กันเป็นอันดับแรกๆ เช่นกัน

Power Gel คืออะไร?

Power Gel หรือ Energy Gel คือเจลอาหารเสริมที่มีสารอาหารสำคัญอย่างคาร์โบไฮเดรต ที่สามารถให้พลังงานกับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายดึงไปใช้งานได้ทันที แต่มาในรูปแบบของเจลซึ่งทำให้ทานง่าย ย่อยง่าย ดูดซึมได้ง่าย จึงเหมาะกับคนที่ต้องการใช้พลังงานด่วนๆ อย่าง นักกีฬาที่ต้องการเติมพลังงานระหว่าง หรือหลังแข่งขัน รวมถึงผู้ประสบภัยที่อดอาหารมานานก็สามารถทานได้เช่นกัน

มีอะไรใน Power Gel?

Power Gel เป็นส่วนผสมของกรดอะมิโน คาร์โบไฮเดรต และแต่งรสชาติให้น่าทาน โดยมีสารอาหารสำคัญๆ อย่าง น้ำตาลมอลโตเด็กติน และฟรุกโตสที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที นอกจากนี้ยังมี Power Gel ในแบบที่มีโซเดียม กับโปสแตสเซียม ที่ช่วยร่างกายดูดซึมนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการให้ผู้ประสบภัยทาง Power Gel ควรจะต้องมีแพทย์ที่ตรวจเช็กสภาพร่างกายโดยละเอียด วัดปริมาณอิเล็กโทรไลต์ ฟอสฟอรัส และแมกนิเซียมในร่างกาย และเลือกชนิดของ Power Gel ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยให้ดีก่อนให้ทานจะปลอดภัยที่สุด
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

5 ผักพื้นบ้าน ต้านมะเร็ง ถูกและดีมีในโลก


ผักผลไม้บ้านเรานี่แหละที่วิเศษที่สุด ทั้งราคาไม่แพง รสชาติดี สดอร่อย แล้วยังมีสรรพคุณดีๆ หลายข้อที่ชาวต่างชาติยังต้องอิจฉา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสรรพคุณที่ช่วย “ต้านมะเร็ง” จะมีผักชนิดไหนที่เราไม่ควรมองข้ามกันบ้าง มาจดชื่อเอาไว้เลยค่ะ

ผักพื้นบ้าน ต้านมะเร็ง

  1. ขี้เหล็ก

ผักพื้นบ้านจากทางใต้ ที่เราทานอยู่ในแกงขี้เหล็กนี่แหละ ดอกขี้เหล็กช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ในส่วนของแก่นขี้เหล็กยังช่วยรักษาโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย

  1. สะเดา

“หวานเป็นลม ขมเป็นยา” คงใช้ได้ดีกับผักสะเดา ที่มีรสชาติค่อนไปทางขมมากกว่าหวานอย่างเห็นได้ชัด สะเดามีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านบำรุงร่างกาย ขับเสมหะ ลดไข้ แก้ท้องผูก ขับลม และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอก และมะเร็งได้อีกด้วย

 

  1. ผักชีลาว

หลายคนชอบเขี่ยผักชีทิ้ง แต่สำหรับผักชีลาวมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายมากมาย ทั้งแก้ท้องผูก ขับลม แก้อาการวิงเวียนศีรษะ เสริมภูมิต้านทานโรค และยังมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งอีกด้วย

  1. ผักติ้ว

“เก็บผักติ้วมาใส่แกงเห็ด” ท่อนหนึ่งของเพลงกล่อมเด็กที่หลายคนอาจเคยได้ยิน เป็นคำยืนยันวาผักติ้วเป็นผักพื้นบ้านที่ชาวบ้านแถบอีสานสามารถหามาทานกันได้ง่ายๆ จริงๆ ผักติ้วมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ต้านมะเร็งตับ ดังนั้นหากเก็บผักติ้วมาใส่แกงเห็ดกันจริงๆ ก็อย่าลืมทานให้หมดนะคะ

 

  1. ผักแขยง

ผักแขยง หรือ ผักกะแยง เป็นอีกหนึ่งผักพื้นบ้านที่พบมากในภาคอีสาน มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงมีฤทธิ์ต่อต้านเซลล์มะเร็งได้เช่นกัน คนอีสานมักนำมาประกอบอาหารประเภทลาบ แกง หรือจิ้มน้ำพริก

ใครที่บ้านอยู่ตามชนบท หรือชานเมือง อาจจะหาผักพื้นบ้านเหล่านี้ได้ไม่ยาก แต่ใครที่อยู่บ้านในเมืองมากๆ อย่างเรา แล้วมองหาผักพื้นบ้านเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจนะคะ สามารถทานผักต่างๆ เช่น กระเทียม ขิง กะหล่ำ เห็ด ขมิ้น พริก มะละกอ เห็ด และผักอื่นๆ ได้ แล้วลดการทานเนื้อแดง เนื้อสัตว์แปรรูปให้น้อยลง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็ลดโอกาสในการโรคมะเร็งได้มากแล้วล่ะค่ะ
ที่มา:sanook