วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

5 เหตุผล ทำไมเราถึงหิวบ่อยกว่าคนอื่น!?


กินข้าวก็ออกไปกินพร้อมกัน กินเมนูก็เหมือนกัน แต่ทำไม๊...ทำไม ถึงดันหิวมากกว่าเพื่อน จนต้องไปซื้อขนม และอาหารอย่างอื่นมาทานเพิ่ม จนไปๆ มาๆ ก็น้ำหนักแซงหน้าเพื่อนไปละ ใครที่กำลังประสบปัญหา “หิวบ่อย” จนเป็นสาเหตุของน้ำหนักที่พุ่งขึ้นๆ ล่ะก็ มาดูสาเหตุกันค่ะ

ทำไมเราถึงหิว?
อาการหิว เป็นสัญญาณทางประสาท ที่ร่างกายเตือนเราว่าเราต้องการอาหาร เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิต เมื่อท้องของเราว่าง ไม่มีอาหารตกถึงท้อง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า “เกรลิน” เพื่อสั่งการไปยังสมองเลยว่า “เราหิว เราต้องการอาหาร” โดยส่งสัญญาณออกมาทางอากัปกิริยาต่างๆ เช่น ท้องร้อง มวนท้อง โหย อ่อนแรง มือสั่น
เมื่อเรากินข้าว ดื่มน้ำจนเต็มกระเพาะอาหารแล้ว ร่างกายก็หยุดการหลั่งฮอร์โมนเกรลิน แล้วหลั่งฮอร์โมนอีกตัวที่มีชื่อว่า “เลปติน” ออกมา ให้ร่างกายรับรู้ว่า “อิ่มแล้ว” ให้หยุดทานได้แล้วนั่นเอง

หิว หรือกระหาย?
ตามภาษาไทยแล้ว หิวกับกระหายมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ไม่เหมือนกัน ที่เราบอกว่าหิวๆ บางครั้งมันอาจจะเป็นแค่อาการ “กระหายน้ำ” เท่านั้น คุณอาจกำลังแยกไม่ออกว่าหิว (ข้าว) หรือกระหาย (น้ำ) อาจจะมีหลายครั้งที่คุณรู้สึกอยากทานอะไรที่มันสดชื่นๆ เลยไปจบที่น้ำที่มีรสชาติหวานๆ หรือบางคนกันไปทานขนมหวานๆ ที่ดันให้พลังงานสูง จึงทำให้เป็นสาเหตุของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

หิวเมื่อไร ต้องกิน!
แม้ว่าบางครั้งอาจจะเกิดการผิดพลาด เพราะแยกไม่ออกว่านี่หิวจริง หรือแค่อยาก หรือแค่กระหายน้ำ เราก็อย่าปล่อยให้ตัวเองมีอาการหิวไปนานๆ จนหิวหนักมากๆ แล้วทานหนักขึ้นกว่าเดิม ถ้ารู้สึกหิวๆ โหวงๆ จริงๆ สามารถหาของกินมาทานได้ แต่อยากให้เริ่มจากน้ำเปล่าก่อน 1 แก้ว ถ้าค่อยๆ ดื่ม ค่อยๆ จิบไปจนหมดแก้วแล้วยังไม่ช่วยให้อาหารหิวน้อยลง ลองหันมาทานผลไม้สด หรืออาหารว่างพลังงานต่ำอื่นๆ เช่น โยเกิร์ต ซีเรียลบาร์ แต่หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสชาติหวานจัด เค็มจัด หรืออาหารที่ใส่ผงชูรส เพราะนอกจากพลังงานจะสูงแล้ว ยังอาจไปกระตุ้นความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นเข้าไปอีก
อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อมีอาการหิวระหว่างวัน
- อาหาร และขนมที่มีแป้ง และน้ำตาลเป็นส่วนประกอบสำคัญ เช่น เบเกอรี่ เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม ขนมหวานต่างๆ
- ขนมกรุบกรอบ ขนมถุง ที่มีรสชาติหวานจัด เค็มจัด และมีผงชูรส
- น้ำผลไม้ (น้ำตาลสูง ควรทานผลไม้สดที่มีวิตามิน และใยอาหารสูงกว่า)
- อาหารที่ให้พลังงานสูง

ทำอย่างไร ถ้าไม่อยากหิวบ่อย?
สาเหตุของอาการหิวมีหลายอย่าง อาจจะต้องแก้ไขที่สาเหตุนั้นๆ
  1. หิว เพราะอดอาหาร
บอกแล้วว่าหิวเมื่อไรต้องกิน เพราะถ้าอดอาหารจนหิวมากๆ เราก็มีโอกาสที่จะทานมากกว่าที่เราควรจะทานตามปกติ ถ้ากลัวอ้วนมากจริงๆ ลองทานมื้อละน้อยๆ แต่แบ่งเป็นหลายๆ มื้อแทน วันละ 4-5 มื้อก็ได้ โดยเลือกมื้อช่วงสาย หรือช่วงบ่ายให้เป็นอาหารที่พลังงานต่ำ รับรองไม่อ้วนหรอก

  1. หิว เพราะเครียด
รู้ไหมว่าเมื่อเราเครียดมากๆ หรือแม้กระทั่งอยู่ในอารมณ์วิตกกังวล เหนื่อย เนื่อหน่าย เหงา ว้าวุ่นใจ กระวนกระวาย อารมณ์เหล่านี้ทำให้เรามีอาการหิวจากภาวะทางอารมณ์ที่ไม่ปกติได้ แถมเผลอๆ จะทานมากกว่าเดิม เพื่อทดแทนความสุขที่ได้รับจากการกิน กินอิ่มอารมณ์ก็ดีขึ้นนั่นเอง แต่จริงๆ แล้วการแก้ปัญหาควรจะทำให้จิตในอยู่ในอารมณ์ที่ปกติมากกว่าที่แก้ปัญหาด้วยการกิน ลองหาเวลาพักผ่อนคลายเครียด ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง จะดีกว่า

  1. หิว เพราะพักผ่อนน้อย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนอนน้อย ทำให้หิวหนักกว่าเดิม ยิ่งร่างกายได้รับการพักผ่อนน้อย จะยิ่งทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเกรลินเจ้าเก่า ที่ทำให้เราหิวหนักกว่าเดิมออกมา แถมยังหลั่งฮอร์โมนเลปติน ที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มน้อยลงอีกด้วย กลายเป็นหิวแล้วกินเท่าไรก็ไม่อิ่ม หรือต้องทานมากขึ้นกว่าเดิมถึงจะอิ่ม รู้อย่างนี้แล้วนอนพักผ่อนให้เพียงพอจะดีกว่า

  1. หิว เพราะเป็นโรค
ฮั่นแน่ รีบเช็คเลยล่ะสิว่าเป็นโรคอะไรหรือเปล่า เปอร์เซ็นต์ในการเป็นโรคเหล่านี้อาจจะน้อย แต่ก็มองข้ามไม่ได้เหมือนกัน บางคนอาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งเป็นอาการของคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือกลุ่มคนที่งดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตนานๆ หรืออาจจะเป็นอาการหิวจากโรคไฮโปไทรอยด์ก็ได้ ถ้าเป็นสาเหตุนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขที่ถูกต้อง

  1. หิว เพราะอยาก (ล้วนๆ)
บอกเลยว่านี่ไม่ใช่ความหิวที่แท้จริง เป็นความอยากทานล้วนๆ ปากและจิตใจสั่งว่า “ฉันหิว” แต่จริงๆ แล้วกระเพาะอาหารก็ยังไม่ว่าง อาการหิวประเภทท้องร้องจ๊อกๆ หรือมือสั่น อ่อนแรงอะไรไม่มีสักอย่าง เห็นรูปอาหารน่าทานตามฟีดในโซเชียลมีเดียก็อยากจะกินเสียเดี๋ยวนั้น แล้วเอาความหิวมาอ้าง แต่จริงๆ คุณไม่ได้หิวหรอก เพราะถ้าคุณหิวจะทานสลัดผักกับไก่ต้มฉีกก็อยู่ท้องได้เหมือนกัน คงไม่อยากปิ้งย่าง แซลมอน ชาบู จิ้มจุ่ม หรือบิงซูหรอก

จัดการกับความหิวใหได้ ควบคุมปริมาณ และสารอาหารให้พอเหมาะ แบ่งเวลามาออกกำลังกายวันละ 1-2 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ดื่มน้ำเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ รับรองว่าต่อไปนี้ความหิวทำอะไรคุณไม่ได้หรอก
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

5 พฤติกรรมเสี่ยง “ร้อนใน” ที่หลายคนอาจไม่ระวัง


พฤติกรรมในการใช้ชีวิตของเราด้วยว่าทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นร้อนในมากขึ้นหรือไม่ ถ้ายังไม่แน่ใจ ลองเช็กดูได้ตามด้านล่างเลย

  1. พักผ่อนไม่เพียงพอ
เชื่อกันว่าการนอนน้อย นอนดึก หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุหลักๆ ของอาการร้อนใน เพราะเมื่อระบบการทำงานในร่างกายของเราเริ่มรวน ไม่เหมือนเดิม ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นในช่วงแรกๆ รวมถึงการเป็นร้อนในด้วย ที่เป็นสัญญาณเตือนว่า ‘เราควรเอาใจใส่กับร่างกายให้มากกว่านี้’

  1. เครียด วิตกกังวลมากเกินไป
มีงานวิจัยรายงานว่า การเกิดแผลร้อนในมีความสัมพันธ์กับอาชีพ และระดับความวิตกกังวล ดังนั้นใครที่อยู่ในช่วงที่เครียดจากการทำงานหนัก ทำรายงาน อ่านหนังสือสอบ หรือเครียดจากปัญหาส่วนตัว อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลร้อนในมากกว่าคนปกติทั่วไปได้

  1. รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน
ตามตำรับแพทย์แผนจีน ระบุว่าอาการของแผนร้อนในเกิดจากการขาดความสมดุลของหยิน และหยาง ในร่างกายของเรา ซึ่งมีอยู่ 2 ปัจจัยหลักๆ หรือ อาหาร และอากาศ หากเราทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นร้อน (หยาง) มากเกินไป เช่น อาหารทอด อาหารรสเผ็ด อาหารรสจัดจ้าน เข้มข้น รวมไปถึงผลไม้บางชนิด เช่น ขนุน ทุเรียน เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วงสุก ฯลฯ และการดื่มน้ำ (ที่มีฟ?เย็น หรือเป็นหยิน) ไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายขาดความสมดุล จึงทำให้เกิดร้อนในได้
  1. ใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
การใช้ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาอะเลนโดรเนตที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน หรือยาอื่นๆ อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นร้อนในได้

  1. ขาดสารอาหาร
หากคุณเป็นคนที่ไม่ใส่ใจในการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน คุณอาจจะขาดสารอาหารบางประเภท ที่อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงในการเป็นแผลร้อนในมากขึ้น เช่น ขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก วิตามินบี (โดยเฉพาะวิตามินบี 12) เป็นต้น

ตามปกติแล้ว หากเป็นแผลร้อนในเล็กๆ จะสามารถค่อยๆ หายได้เอง แต่หากต้องการให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น หรือมีแผลขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และแสบมาก รบกวนการทานอาหารในแต่ละครั้ง สามารถลองบ้วนปากด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง ใช้ยาป้ายที่รักษาแผลร้อนในโดยเฉพาะ หรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสม ในกรณีที่พบว่าแผลร้อนในมีอาการผิดปกติ เช่น รูปทรงของแผลแปลกไป หรือแผลไม่ดีขึ้นภายใน 1 อาทิตย์
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

พลังงานของขนมไทยแต่ละชนิด ทานอย่างไรให้ “ไม่อ้วน”

    พลังงานของขนมไทยแต่ละชนิด ทานอย่างไรให้ “ไม่อ้วน”

กระแสความเป็นไทยช่วงนี้กำลังฮิตจากละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส หนึ่งในเสน่ห์ของละครเรื่องนี้ นอกจากจะเป็นละครรักอิงประวัติศาสตร์ที่มีนักแสดงมากฝีมือร่วมถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ในสมัยอยุธยาให้เราได้ชมกันแล้ว ยังมีฉากทำอาหาร ทำขนมให้เราได้น้ำลายสอกันอีกมากมาย รวมไปถึงขนมไทยที่ท้าวทองกีบม้า (ตองกีมาร์) ราชินีขนมไทยเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมาให้ชมกันกันด้วย แต่ขนมไทยแต่ละอย่างที่เราได้เห็นกันนั้น พลังงานไม่เบาเลยทีเดียว ด้วยส่วนผสมหวานมันจนห้ามใจไม่อยู่ ดังนั้นมาดูกันหน่อยดีกว่าว่า ขนมไทยแสนอร่อยแต่ละชนิดมีพลังงานมากเท่าไร และควรทานอย่างไรถึงจะพอเหมาะ
 foy-thong
  1. ฝอยทอง
จำนวน 1 แพ
พลังงาน 220 กิโลแคลอรี่
เท่ากับ น้ำตาล 3 ช้อนชาโดยประมาณ
ไม่ควรทานเกิน ¾ ของแพ ใน 1 วัน

med-kanoon
  1. เม็ดขนุน
จำนวน 1 เม็ด
พลังงาน 40 กิโลแคลอรี่
เท่ากับ น้ำตาล 1 ช้อนชาโดยประมาณ
ไม่ควรทานเกิน 2 เม็ด ใน 1 วัน

thong-yod
  1. ทองหยอด
จำนวน 1 ชิ้น
พลังงาน 30 กิโลแคลอรี่
เท่ากับ น้ำตาล 1 ช้อนชาโดยประมาณ
ไม่ควรทานเกิน 3 เม็ด ใน 1 วัน

thong-yib
  1. ทองหยิบ
จำนวน 1 ชิ้น
พลังงาน 60 กิโลแคลอรี่
เท่ากับ น้ำตาล 2 ช้อนชาโดยประมาณ
ไม่ควรทานเกิน 1-2 เม็ด ใน 1 วัน
คำแนะนำของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หากจะทานขนมไทยเหล่านี้ ควรเลือกทานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งใน 1 วัน และไม่ควรทานมากจนเกินไป และหากทานขนมไทยแล้ว ควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินที่ได้รับในร่างกาย
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

5 วิธีดูแลสุขภาพดวงตาต้อนรับหน้าร้อน

5 วิธีดูแลสุขภาพดวงตาต้อนรับหน้าร้อน



เริ่มต้นเดือนเมษายนแบบนี้ หลายคนคงมีแพลนไปเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวใช่มั้ยล่ะคะ ซึ่งแน่นอนว่า กิจกรรมที่ทุกคนต้องไม่พลาดก็คือ การพักผ่อนริมชายหาด การว่ายน้ำ และเล่นกีฬากลางแจ้งนั่นเอง ดังนั้นใครที่ชอบสนุกไปกับกิจกรรมท้าแดดเช่นนี้ ย่อมต้องเผชิญกับรังสียูวีอย่างปฏิเสธได้ยาก ไม่เว้นแม้สุขภาพดวงตาที่อาจได้รับผลกระทบอย่างคาดไม่ถึง เราจึงมีเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลสุขภาพดวงตาสำหรับช่วงซัมเมอร์นี้มาฝากกัน น่าสนใจเชียวค่ะ
  1. อย่าลืมแว่นกันแดด ควรเลือกแว่นกันแดดที่มีน้ำหนักเบา สวมใส่ได้อย่างสบาย แม้ในช่วงระหว่างวัน ส่วนชนิดของเลนส์ที่ใช้ แนะนำให้เลือกเลนส์โพลาไรซ์ ซึ่งจะให้คุณสมบัติในการลดแสงสะท้อนบนผิวน้ำหรือพื้นผิวกลางแจ้ง ทั้งยังช่วยถนอมดวงตาจากอันตรายของรังสียูวี

  1. น้ำตาเทียมเพิ่มความชุ่มชื่น ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบกีฬาหรือกิจกรรมกลางแจ้ง นอกเหนือจากคุณต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบอันเนื่องจากแสงแดดแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจทำร้ายดวงตาได้เช่นกัน นั่นก็คือ อิทธิพลจากฝุ่นละออง แรงลม หรือมลภาวะในอากาศ เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา หรือปัญหาตาแห้งได้ง่าย ทางที่ดีจึงควรพกน้ำตาเทียมติดตัวไว้ตลอด เพื่อช่วยปลอบประโลมดวงตาให้ชุ่มชื่น รู้สึกสบายตา แม้ในขณะเล่นกีฬาหรือกิจกรรมกลางแดด
  1. ประคบดวงตาด้วยฝ่ามือ ยิ่งคุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดๆ ริมทะเล หรือต้องขับรถทางไกลเป็นเวลานานๆ อาจทำให้ดวงตาของคุณรู้สึกอ่อนล้า วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของดวงตา แนะนำให้วอร์มฝ่ามือทั้งสองข้างพอให้เกิดความร้อน จากนั้นจึงหลับตา แล้วประคบดวงตาด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง ความอุ่นจากฝ่ามือจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณดวงตารู้สึกผ่อนคลายขึ้น 

  1. เลือกทานผักผลไม้บำรุงสายตา อย่าลืมว่าการดูแลสุขภาพดวงตาจากภายในก็เป็นเรื่องสำคัญ แนะนำให้คุณเลือกทานผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรตินสูง อาทิ ผักใบเขียว แครอท ฟักทอง และมะละกอ เพราะจะให้คุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดอาการตาพร่ามัวเวลากลางคืน และป้องกันการเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อมในอนาคต

  1. ตัวช่วยดูแลสุขภาพดวงตา ปัจจุบันได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดต่างๆ ที่ช่วยฟื้นบำรุงสุขภาพดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไอ-ดี (I-DEE) จึงนับเป็นอีกตัวช่วยดีๆ ในการดูแลสุขภาพดวงตา เพราะได้รวบรวมคุณค่าของสารสกัดต่างๆ อาทิ สารสกัดจากบิลเบอร์รี่, แบล็คเคอเรนท์, ลูทีน และวิตามินซี ซึ่งให้คุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมสร้างการทำงานของจอประสาทตา พร้อมฟื้นบำรุงดวงตาให้ดูมีสุขภาพดี

ที่มา:sanook

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

เตือน! “ภัยจากแสงแดด" ระวังฝ้ากระ-มะเร็งผิวหนัง


สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ชี้แสงแดดมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไปก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน แนะวิธีป้องกันและดูแลผิวหนังจากแสงแดดที่ถูกวิธี
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า แสงแดด มีความสำคัญในการสร้างวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก หากร่างกายไม่ได้รับแสงแดดอาจทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน แต่ถ้าได้รับแสงแดดน้อยเกินไปอาจมีปัญหานอนไม่หลับ หรือภาวะซึมเศร้าได้ ช่วงเวลาที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังมากที่สุด คือช่วงแดดจัดๆ ตั้งแต่ช่วงเวลา 10.00 – 15.00 น.ทั้งนี้ผลกระทบจากแสงแดดจะทำให้ผิวหนังแดงขึ้น ผิวไหม้ บางคนผิวอาจจะคล้ำขึ้นทันที แต่บางคนต้องโดนแดดต่อเนื่องแล้วผิวจะค่อยๆ คล้ำขึ้น ผิวคล้ำเกิดจากการที่ผิวหนังโดนแสงแดดเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดความผิดปกติของผิวหนัง เกิดสีกระดำกระด่าง กระ ฝ้า หรืออาจจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังชนิดต่างๆได้ดังนั้น การใช้ยากันแดดเพื่อป้องกันรังสีจากแสงแดดจะสามารถช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ 

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาผิวหนังจากแสงแดด ได้แก่ ผด ผื่น คัน แพ้แสงแดด ผิวไหม้ ผิวคล้ำ กระ โดยเฉพาะฝ้าเป็นปัญหาผิวหนังสำคัญ ที่พบบ่อยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ฝ้าคือผื่นสีน้ำตาลที่ใบหน้าโดยเฉพาะที่บริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก คาง ตลอดจนแขนและบริเวณที่ถูกแสงแดด โดยมักเป็นเท่ากันที่ 2 ข้างของใบหน้า พบมากในผู้หญิงวัย 30 – 40 ปี แต่ปัจจุบันเริ่มพบมากขึ้นในผู้ชาย สาเหตุของการเกิดฝ้ายังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจจะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ปัจจัยสำคัญที่สุดคือแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ฝ้าเป็นมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าฮอร์โมนเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญโดยเฉพาะผู้หญิงตั้งครรภ์หรือรับประทานยาคุมกำเนิดจะเป็นฝ้าได้ง่าย ปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนสำคัญกับการเกิดฝ้า เนื่องจากพบได้ร้อยละ 20 – 70 เครื่องสำอางและยาเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า การแพ้ส่วนผสมบางชนิดในเครื่องสำอาง เช่น สารให้กลิ่นหอมหรือสี อาจทำให้เกิดฝ้าได้ ทั้งนี้ การดูแลผิวหนังเพื่อป้องกันภัยจากแสงแดด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หากจำเป็นต้องป้องกันโดยกางร่ม สวมหมวกปีกกว้าง ใส่เสื้อแขนยาว และทายากันแดดสม่ำเสมอก่อนออกจากบ้าน

ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

ระวัง! ผัก 5 อย่าง ห้ามทานดิบ



ขึ้นชื่อว่าเป็น “ผักสด” ย่อมดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว เพราะคุณค่าทางสารอาหารอยู่ครบ ไม่สูญเสียไประหว่างทำอาหารผ่านความร้อน แต่ก็ยังมีผักสด ผักดิบ ที่ไม่เหมาะสำหรับบางคนที่อาจมีปัญหาสุขภาพในบางด้าน หรือผักสดบางชนิดอาจมีอันตรายแฝงในแบบที่เราไม่ทันคาดคิด
bean-sprouts
  1. ถั่วงอก กับเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน
ถั่วงอกดิบพบการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียอย่าง ซาลโมเนลลา หรืออีโคไล ซึ่งไม่ใช่แค่บ้านเราท่านั้น ที่ต่างประเทศก็พบการปนเปื้อนของเชื้อโรคเช่นกัน เมื่อทำการเพาะถั่วงอก ความชื้นและอุณหภูมิของถั่วงอกในการเจริญเติบโต เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเช่นเดียวกัน แต่หากเรานำมาปรุงผ่านความร้อน เชื้อเหล่านี้ก็จะถูกทำลาย เราจึงสามารถทานถั่วงอกได้ปลอดภัยมากขึ้น

cabbage
  1. กะหล่ำ กับสารกอยโตรเจน
คนที่ปัญหาเกี่ยวกับไฮโปไทรอยด์ หรือการทำงานของต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติ หากรับประทานผักที่มีกอยโตรเจน เช่น กะหล่ำปลี หรือกะหล่ำดอก สารกอยโตรเจน จะเข้าไปยับยั้งการดูดซึมไอโอดีน  ยิ่งทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนได้น้องลงไปกว่าเดิมอีก ดังนั้นควรทานผักเหล่านี้โดยทำไปปรุงให้ผ่านความร้อนจะดีกว่า
แต่คนปกติทานได้ไม่มีปัญหา จะมีเรื่องกังวลแค่สารฆ่าแมลงที่อาจตกค้างได้เท่านั้น อาจจะต้องล้างให้สะอาด โดยแยกออกมาเป็นใบๆ ก้านๆ

baby-bamboo
  1. หน่อไม้ และมันต่างๆ กับสารไซยาไนด์
มันฝรั่ง มันสำปะหลัง และหน่อไม้ดิบ อาจมีสารไซยาไนด์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิตได้ สารไซยาไนด์จะสลายหายไปได้ ต้องผ่านความร้อนโดยการต้มนานมากกว่า 10 นาทีขึ้นไป

cow-pea
  1. ถั่วฝักยาว กับสารปนเปื้อน
บางคนอาจเคยมีอาการท้องอืดหลังทานถั่วฝักยาวดิบ อาจเป็นที่ระบบลำไส้ของแต่ละคนมากกว่า แต่เรื่องที่ต้องระมัดระวังจริงๆ คือ ถั่วฝักยาว เป็นกลุ่มพืชที่มีการใช้ยากำจัดศัตรูพืชสูง ซึ่งอาจทำให้ตัวถั่วฝักยาวเองดูดซึมสารเหล่านั้นเข้าไปด้วย ปกติสารเหล่านี้จะต้องใช้เวลาจนกว่าจะสลายไปราวๆ 7 วัน แต่กว่าจะถึงมือเรา เราไม่อาจทราบได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว
หากถั่วฝักยาวมารับประทานเอง ควรล้างให้สะอาด เอามือถูถั่วฝักยาวซ้ำๆ และอาจต้องมีการแช่น้ำทิ้งไว้ด้วย เพราะเป็นพืชที่มีการดูดซึมสารพิษตกค้างจากยากำจัดศัตรูพืชค่อนข้างมาก

spinach
  1. ผักโขม กับกรดออกซาลิก
กรดออกซาลิกในผักโขม อาจเข้าไปขัดขวางกระบวนการทางร่างกายที่จะดึงเอกแคลเซียม และธาตุเหล็กไปใช้ แม้ว่าเราจะทานอาหารที่มีแคลเซียม และธาตุเหล็ก แต่หากเราทานผักโขมเข้าไปด้วย อาจทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม และธาตุเหล็กได้น้อยลง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงในการทานพร้อมกัน

วิธีทานผักอย่างปลอดภัย
เรามีข้อกังวลกับผักในเรื่องของสารตกค้างจากสารเคมี และยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช วิธีลดความเสี่ยง คือการล้างผักให้สะอาด อาจแช่น้ำทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนล้างอีกครั้ง
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

ระวัง! สาเหตุสุขภาพพัง แอร์รถยนต์สกปรก ราขึ้นรถ


อากาศบ้านเราก็ทั้งร้อนทั้งชื้น ทั้งเชื้อรา ทั้งแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่ายมากๆ ยิ่งช่องแอร์ถ้าไม่ได้รับการทำความสะอาดบ้าง ลมปะทะหน้าครั้งแรกที่เปิดแอร์นี่เต็มไปด้วยเชื้อราชัดๆ จะไม่ให้ป่วยได้ยังไงไหว ทางการแพทย์เขาเรียกว่า “Sick Car Syndrome” ค่ะ

อาการป่วยจากเชื้อรา แบคทีเรีย และฝุ่นต่างๆ ในรถยนต์

- ไอ

- จาม

- หายใจลำบาก

- ระคายเคืองตา และจมูก จนน้ำมูกน้ำตาไหล

- ง่วงซึม

- แน่นหน้าอก

- ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ

ภูมิแพ้

สเปรย์ฉีดดับกลิ่น น้ำยาดับกลิ่นในรถ ช่วยได้หรือไม่?
หากเป็นสูตรกำจัดแบคทีเรียก็ช่วยได้เพียงระยะหนึ่ง แต่เมื่อฤทธิ์ หรือกลิ่นของน้ำยาหมด แบคทีเรียและเชื้อราก็จะกลับมาอีกอยู่ดี แต่หากเป็นสูตรปรับกลิ่นเฉยๆ ก็ไม่สามารถฆ่าแบคทีเรีย หรือเชื้อราได้

วิธีกำจัดฝุ่น เชื้อราในรถยนต์ สาเหตุของโรคภูมิแพ้

1. หาสาเหตุของกลิ่นอับ หากเปิดประตูเข้าไปแล้วมีกลิ่นเลย กลิ่นอาจจะมาจากที่นั่ง หากมีกลิ่นตอนเปิดแอร์ กลิ่นอาจมาจากแอร์ เป็นต้น เมื่อหาสาเหตุได้แล้วก็จัดการทำความสะอาดซะ

2. หมั่นดูดฝุ่นเบาะนั่งเป็นประจำ โดยเฉพาะเบาะผ้า อย่าลืมดูดฝุ่นพรมที่เท้าด้วย

3. หากมีน้ำ หรือเครื่องดื่มต่างๆ เคยหกใส่เบาะ หรือที่วางเท้า รีบทำความสะอาด และจัดการให้แห้ง

4. อย่าฉีดสเปรย์ น้ำหอม หรือสารเคมีต่างๆ มากจนเกินไป แทนที่จะให้ผลดี กลับให้ผลที่แย่กว่าเดิม

5. หากยังมีเชื้อรา หรือกลิ่นอับชื้นที่แก้ไขเองไม่ได้ ให้รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ที่มา:sanook

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

5 เหตุผลทำไมคุณถึงควรหยุด “ซิทอัพ”


ใครๆ ก็อยากมีหน้าท้องแบนราบ ไร้พุง สร้างซิกแพ็คเป็นก้อนๆ ให้สาวๆ หนุ่มๆ หลงใหล แต่ทำไม พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง) ถึงออกโรงเตือนหนุ่มสาวให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายด้วยท่า“ซิทอัพ”  วันนี้จะพามาดูเหตุผลที่แท้จริงกันค่ะ

5 เหตุผลทำไมคุณถึงควรหยุด ซิทอัพ

1. ซิทอัพ ทำร้ายกระดูก

ท่าซิทอัพ เสี่ยงต่อการทำร้ายกระดูกหลัง กระดูกคอ และส่วนของบั้นเอวที่ถูกดึงรั้ง และเกร็งฝืนธรรมชาติ หากทำท่าซิทอัพแล้วต้องเกร็งหลังอยู่เป็นประจำ อาจส่งผลเสียต่อกระดูกหลังและส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในระยะยาวได้

2. ซิทอัพ กระชับผิดส่วน

แทนที่เราจะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องมากขึ้น แต่การซิทอัพ (โดยเฉพาะแบบงอเข่า) กลับทำให้เราใช้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างมากกว่าจะเป็นหน้าท้อง หากซิทอัพไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ส่วนหลังได้อีกต่างหาก

3. ซิทอัพ ได้แค่เฉพาะส่วน

ส่วนที่จะทำให้ได้รูปตึงกระชับ และสร้างมัดกล้ามนั้น สำหรับท่าซิทอัพจะทำได้แค่ช่วงกล้ามเนื้อท้องส่วนกลาง ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของลำตัว ต้องใช้ท่าอื่นๆ เป็นตัวช่วย ดังนั้นท่าอื่นๆ อย่างท่าแพลงค์ จะทำให้กล้ามเนื้อหลายส่วนหลายมัดทำงานร่วมกันได้ดีกว่า และเห็นผลในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับช่วงลำตัวได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อแขนไปด้วยในเวลาเดียวกัน

4. ซิทอัพอย่างเดียว ช่วยลดไขมันยังไม่ได้

ถ้ามัวแต่ซิทอัพ แต่ไม่ออกกำลังกายในแบบอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ จักรยาน หรือออกกำลังกายในท่าทางอื่นๆ ร่างกายก็ยังจะมีไขมันปกคลุมอยู่ กล้ามเนื้อท้องสวยๆ ก็ยังไม่ออกมาปรากฏให้เห็นง่ายๆ แน่นอน

5. ซิทอัพ แต่ไม่กินคลีน กล้ามเนื้อก็ไม่มา

นอกจากเราจะช่วยบิ๊วกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายแล้ว ก็ต้องบิ๊วขึ้นมาจากภายในผ่านการทานอาหารที่มีประโยชน์ด้วย เช่น โปรตีนดีจากปลา ไข่ เนื้อสัตว์ไม่มีหนัง ผักผลไม้ ธัญพืชที่มีน้ำตาลน้อย กากใยสูง แป้งเชิงซ้อนจากข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เลี่ยงไขมันทรานส์จากขนมกรุบกรอบ มาการีน คุกกี้ ของทอดต่างๆ และลดแอลกอฮอล์ บุหรี่ด้วย
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

5 วิธีสังเกตอาหารบูด เน่าเสีย แม้ว่าจะอยู่ในตู้เย็น


อาหารที่แช่ในตู้เย็น ไม่ได้แปลว่าจะไม่บูดไม่เน่าเสมอไป หลายคนประสบปัญหา แยกไม่ออกว่าอันนี้บูดหรือยัง เน่าหรือยัง ยังทานได้อยู่หรือเปล่า มีเคล็ดลับง่ายๆ มาให้ช่วยสังเกตอาหารเหล่านั้นกันค่ะ

  1. กลิ่นเปลี่ยนไป
วิธีสังเกตง่ายๆ ที่หลายคนมักจะใช้บ่อยๆ คือการดมกลิ่น วิธีนี้ง่าย และให้ผลที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกับอาหารที่เปียกๆ มีน้ำ ไม่ใช่อาหารแห้ง เช่น นม โยเกิร์ต แกงต่างๆ กลิ่นที่เปลี่ยนไปก็อาจจะเหม็นเปรี้ยว เหม็นหืน เรียกง่ายๆ ว่ากลิ่นเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมนั่นแหละ ถ้ากลิ่นไม่ผ่านก็อย่าทานเลย
ปล. แกงที่แช่เย็นจัดๆ ในตู้เย็น ดมกลิ่นตอนที่เย็นๆ อาจจะไม่ค่อยชัดเจน ลองเอาออกมาอุ่น หรือทิ้งไว้ให้หายเย็นแล้วค่อยลองดมใหม่ คราวนี้จะได้กลิ่นชัดขึ้น

  1. เนื้อสัมผัสเปลี่ยนไป
จากโยเกิร์ตที่เด้งดึ๋ง เนียนนุ่ม ตักง่าย กลายเป็นเนื้อแข็งๆ เป็นก้อนๆ ไม่เนียนละเอียดเหมือนเดิม ก็ให้สันนิษฐานได้เลยว่ามันเสียแล้ว นอกจากโยเกิร์ตก็อาจเป็นอาหารประเภทแกง อย่างแกงกะทิต่างๆ ที่อาจจะเนื้อข้น ติดช้อน มีฟอง รวมไปถึงข้าวที่จากเนื้อร่วนๆ เป็นเม็ดๆ อาจจะกลายเป็นข้าวแฉะๆ เหนียวๆ ไม่น่าทานเหมือนเดิม เป็นต้น
  1. พบสิ่งแปลกปลอมในถุง
ขออนุญาตเรียกรวมๆ ว่าสิ่งแปลกปลอม เพราะอันที่จริงแล้วเราหมายถึง “รา” แต่ราที่คุณเห็นในอาหารก็มีหลายชนิด หลายรูปร่าง ขนาด และสี ดังนั้นไม่ว่าสิ่งที่คุณเห็นจะลักษณะเป็นอย่างไร เป็นเยื่อๆ ใยๆ บางๆ เป็นก้อนๆ หรือเป็นสีเขียว สีดำ สีส้ม มีเหลือง ฯลฯ ตราบใดที่เป็นสิ่งแปลกปลอมที่มันไม่เคยอยู่ในหีบห่อนั่นๆ มาก่อน สันนิษฐานได้เลยว่าอาจเป็นเชื้อรา ทิ้งโลด

  1. รสชาติเปลี่ยนไป
คราวนี้หากไม่เห็นความผิดปกติของอาหารในมือเราเลย คงต้องถึงขั้นลองชิมแล้วล่ะค่ะ ชิมช้อนเล็กๆ ล่ะ อย่าชิมเยอะ หากสัมผัสได้ถึงรสชาติที่เปลี่ยนไป เนื้อสัมผัสที่ได้จากลิ้นเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเปรี้ยวๆ เหม็นๆ แหยะๆ ลื่นๆ ถ้าไม่ปกติเหมือนเดิมก็ทิ้งโลดเช่นกัน

  1. นับวันหมดอายุคร่าวๆ
มาถึงวิธีสุดท้ายสำหรับคนที่ประสาทสัมผัสไม่ได้เรื่องจริงๆ แยกไม่ออกทั้งจากตา จมูก ปาก ลองนึกถึงวันที่ซื้อมาทานวันแรก นับวันดูว่าวันนี้ผ่านไปกี่วันแล้ว อาหารแต่ละอย่างเวลาหมดอายุไม่เท่ากัน แต่หากเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของนม เช่น นม โยเกิร์ต รวมถึงแกงกะทิ และอาหารที่มีส่วนผสมของแป้ง และน้ำตาลมากๆ เช่น ข้าวสวย ขนมจีน เค้ก เบเกอรี่ต่างๆ พวกนี้เก็บได้ไม่นาน หากนับวันแล้วเกิน 7 วัน เราแนะนำให้โยนทิ้งไปได้เลย รวมถึงผักผลไม้ที่เหี่ยวๆ ไม่เหมือนเดิม ก็ควรทิ้งเช่นกัน
สำหรับไข่ไก่ที่แช่ในตู้เย็น อาจจะต้องลองกะเทาะออกมาดูข้างใน ดมกลิ่ม และสังเกตสี และเนื้อสัมผัส ไข่สังเกตได้ง่าย หากไข่เน่าเสียกลิ่นจะแรงมาก ทนทานไม่ได้แน่นอน
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

สุดยอดผักผลไม้ กินฟื้นฟูผิวจากแสงแดดได้ดี


การถูกแสงแดดแผดเผาผิวนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ชวนไห้แฮปปี้เลย เพราะนอกจากจะทำให้ผิวเป็นรอยไหม้ ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งอีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากครีมกันแดดและโลชั่นบำรุงผิวแล้ว ผักผลไม้บางชนิดก็มีสารอาหารที่ช่วยในการฟื้นฟูสภาพผิวที่ถูกเผาให้กลับมาขาวใสได้ หากทานและใช้ครีมกันแดดทุกวัน ผิวจะกลับมาสุขภาพดีอย่างรวดเร็วแน่นอน มาดูกันเลยว่ามีผักผลไม้อะไรบ้าง
1.ผักโขม
หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม "ผักโขมของป๊อปอาย" ผักโขมเป็นผักที่มีรสชาติหวานอร่อยตรงข้ามกับชื่อ นิยมนำมาทำเป็นแกงจืดและเมนูอบชีส ในผักขมอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิเดนท์ และวิตามินซี ที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กระจ่างใสได้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถ้าหากจำเป็นต้องออกไปโดดแดน แนะนำให้ทานผักโขมต่อเนื่องทุกวัน จะช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่ง
2.แครอท
แครอท อุดมไปด้วยสารสีแดงที่มีชื่อเรียกว่า "เบต้าแคโรทีน" จึงช่วยลดการอักเสบจากผิวหนังที่ถูกแดดแผดเผาได้ และช่วยฟื้นฟูให้กลับมาขาวใสได้ภายในระยะเวลาไม่นาน แต่การทานแครอทให้ได้ผลดี ควรทานแบบดิบ ๆ หรือผ่านความร้อนให้น้อยที่สุด เพื่อที่สารอาหารจะได้ไม่ถูกทำลายไปพร้อมกับความร้อนนั่นเอง
3.ชาเขียว
ต้องเป็นชาเขียวจริง ๆ ที่ไม่ผ่านการเติมน้ำตาล เหมือนชาเขียวบรรจุขวดที่ขายกันตามร้ายค้าทั่วไป ขาเขียวมีสรรพคุณในเรื่องของการยับยั้งการถูกทำลายของเซลล์ที่เกิดจากแดด โดยสารที่ชื่อว่า EGCG ที่พบได้มาก นอกจากนี้ในชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
4.มะเขือเทศ
มะเขือเทศก็เป็นผักอีกชนิดที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน รวมถึงวิตามินต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการบำรุงผิวพรรณ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามีนซี และสารไลโคปีน สารสีแดงที่พบได้ในมะเขือเทศเท่านั้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย และป้องกันการเกิดฝ้าแดดได้เป็นอย่างดี และถ้าหากต้องการให้ผิวคืนสภาพแบบเร่งด่วน ให้ผ่ามะเขือเทศออกเป็น 2 ซีกแล้วแปะลงบนผิวหนังทิ้งไว้ 20 นาทีเป็นประจำทุกวัน
5.ส้ม
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก จึงช่วยในการฟื้นบำรุงผิวให้กลับมากระจ่างใสได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ก็ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากแดดได้อีกด้วย
ใครที่ไปออกทริปดำน้ำ เล่นทะเล หรือเตรียมตัวจะไปเล่นสงกรานต์ ก็อย่าลืมซื้อผักผลไม้เหล่านี้ติดบ้านไว้ทานต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็จะช่วยให้ผิวฟื้นฟูสภาพกลับมาเนียน ขาว ใส เหมือนดั่งเดิม
ที่มา:sanook