วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สยองนิคมฯบางปู! กระบะซิ่งแซงย้อนศรชนจยย.3คันรวด ตร.จับคนขับตรวจฉี่

เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 28 ก.ค. พ.ต.ต.สุทธิชล ธงชัยภูมิ สารวัตรเวร สภ.บางปู จ.สมุทรปราการ รับแจ้งเหตุรถกระบะชนประสานงานรถจักรยานยนต์หลายคันมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส บริเวณถนนนิคมอุตสาหกรรมบางปู เยื้องปากซอย 9 เอ ต.แพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ จึงพร้อมด้วยมูลนิธิร่วมกตัญญู และมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ มูลนิธิกู้ภัยบางปู 811 เดินทางไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ ไทรทัน สีบรอนซ์เทา ทะเบียน ฒย 8603 กรุงเทพมหานคร จอดขวางถนนในลักษณะย้อนศร ด้านหน้าพังยับเยิน ชนประสานงานกับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีขาว-ดำ ทะเบียน ขยฉ 202 บุรีรัมย์ และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า แอลเอส สีดำ-เทา ทะเบียน กกท 881 ศรีสะเกษ ล้มอยู่ในสภาพด้านหน้าพังยับเยิน ที่ล้อหน้าข้างขวาพบศพชายไม่ทราบชื่อ อายุ 35-40 ปี ทำงานที่บริษัทไตโย ฟาสเทอเนอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ถูกล้อหน้าข้างขวาของรถกระบะทับบริเวณลำตัว เสียชีวิตคาที่ ห่างออกไป 50 เมตรพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า มีโอ 125 ไอ สีดำ-น้ำตาล ทะเบียน 1 กฆ 2992 กรุงเทพมหานคร ล้มคว่ำอยู่กลางถนน สภาพข้างขาวถูกชนจนยับ ส่วนท้ายขาดกระเด็นหายไป ในที่เกิดเหตุยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 2 ราย มูลนิธิช่วยนำส่งโรงพยาบาลรัทรินทร์บางปูไปก่อนแล้ว ทราบชื่อคือนายจำนง เสริมวิเศษ อายุ 26 ปี บาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง และนายเฉลิมชัย วาดวงปราง อายุ 27 ปี ทั้งสองทำงานที่เดียวกับผู้ตาย แต่นายเฉลิมชัย ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนผู้ขับขี่รถยนต์กระบะคันดังกล่าวนั่งรอเจ้าหน้าที่อยู่ข้างรถ คือนายจีรภัทร์ แก้วสุวรรณ อายุ 38 ปี อยู่ในสภาพคล้ายคนมึนเมาและให้การวกวน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคุมตัวเอาไว้
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเป็นช่วงที่พนักงานบริษัทต่างๆ เปลี่ยนกะเข้าทำงาน จึงมีรถรับส่งพนักงานจำนวนมากที่วิ่งเข้าออกรับส่งคนงานตามบริษัท ทำให้การจราจรฝั่งขาเข้าภายในนิคมอุตสาหกรรมบางปูติดขัด ระหว่างที่รถทุกคันจอดรอกันอยู่กับเลนของตัวเอง แต่รถยนต์กระบะคันดังกล่าวได้ขับแซงขวาย้อนศรมาด้วยความเร็ว เป็นจังหวะเดียวกันที่ผู้ตายและผู้บาดเจ็บขับขี่รถจักรยานยนต์สวนทางขึ้นมา จึงถูกรถกระบะเฉี่ยวชนและชนประสานงานรถจักรยานยนต์ทั้ง 3 คัน เสียงดังสนั่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่นำตัวนายจีรภัทร์ คนขับรถยนต์กระบะไปตรวจแอลกอฮอล์ในร่างกาย เนื่องจากให้การไม่รู้เรื่อง วกไปวนมา ก่อนนำตัวไปควบคุมเพื่อรอการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด

สยองเก๋งขาดสองท่อน!! งัดรถเจอศพสาวขายประกันบริษัทดัง ซิ่งฝ่าฝน-ชนต้นไม้

วันที่ 29 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ร.ต.อ.ธีระพล ไชยศรี ร้อยเวรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรโพธิ์กลาง ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เสียหลักตกถนนพุ่งชนต้นไม้จนพังยับเยิน ภายในรถมีคนขับถูกอัดก๊อปปี๊เสียชีวิตติดภายในรถ เหตุเกิดบนถนนสาย 304 ราชสีมา-ปักธงชัย ฝั่งขาออกตัวเมืองนครราชสีมา บริเวณปากทางเข้าเทศบาลตำบลไชยมงคล บ้านโกรกตะคร้อ ตำบลไชยมงคล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋ง ฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ขน 9064 นครราชสีมา สภาพพุ่งชนกับต้นงิ้วขนาดใหญ่ข้างทาง จนรถยนต์ขาดออกจากกันเป็น 2 ท่อน ภายในซากรถที่พังยับเยินพบศพ นางสาววรินธร วงศ์อนุสาสน์ อายุ 30 ปี สายตัวแทนขายประกันชีวิตบริษัทดัง เป็นคนขับถูกอัดก๊อปปี๊เสียชีวิตติดคาพวงมาลัย เจ้าหน้าที่ต้องใช้อุปกรณ์ตัดถ่างงัดนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาจากรถ จากการสอบสวนเบื้องต้นคาดว่า นางสาววรินธรผู้เสียชีวิตได้ขับรถออกมาจากตัวเมืองนครราชสีมา เพื่อที่จะไปทำธุระที่อำเภอปักธงชัย ขณะขับรถมาด้วยความเร็ว ถึงที่เกิดเหตุมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ถนนลื่น ประกอบกับผู้ตายขับรถมาด้วยความเร็ว จึงทำให้รถเสียหลักลื่นไถลพุ่งชนต้นไม้ข้างทางอย่างแรง จนรถยนต์ขาดออกจากกันเป็น 2 ท่อน และนางสาววรินธรคนขับถูกแรงกระแทกอัดก๊อปปี๊กับรถจนเสียชีวิตดังกล่าว
ที่มา>>>ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

จับแก๊งสามเกลอสุดแสบฉกพุทธรูปล้ำค่าทั่วอีสานนับ 100 วัด ไม่เว้นแม้กระทั่งจีวร

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 27 ก.ค. พล.ต.ต.ยรรยง เวชโอสถ ผบก.สส.ภาค 4 แถลงข่าวจับกุมแก๊งโจรกรรมพระพุทธรูปโบราณล้ำค่าทั่วภาคอีสานทั้ง 12 จังหวัด มีวัดถูกโจรกรรมไปร่วมร้อยวัด จับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน มีนายเสกสรร หรือเสก โพธิ์ทน อายุ 30 ปี นายนวนิต หรือจัน ฝนดี อายุ 27 ปี และนายสมรส หรือกี้ ศรีหะไตย์ อายุ 36 ปี เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นพระพุทธรูป หรือวัตถุทางศาสนา ในสถานที่สาธารณะ”   พร้อมของกลางที่ตรวจยึดคืนมาได้ประกอบด้วย 1.พระพุทธรูปโบราณล้ำค่าจำนวน 14 องค์ ประกอบด้วยพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตัก 16 นิ้ว และ 14 นิ้ว พระพุทธรูปปางห้ามญาติ พระบางพระคู่บ้านคู่เมืองหนองบัวลำภูขนาดสูงประมาณ 40 ซม. พระพุทธรูปปางนาคปรกขนาดหน้าตัก 12 นิ้วและ 14 นิ้ว พระพุทธรูปปางสมาธิและรูปหล่อองค์เหมือนขนาดหน้าตัก 12 นิ้ว ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผ้าไตร จีวร จำนวน 31 ผืน ผ้าสบงพระจำนวน 23 ผืน จีวรพระ 6 ชุด เครื่องสังฆทาน 2 ชุด และรถยนต์เก๋งนิสสัน ซิวฟี่สีดำ ทะเบียน กย.-352 อุดรธานี 1 คัน   พล.ต.ต.ยรรยงกล่าวว่า ทั้งนี้สืบเนื่องจากมีรายงานการสืบสวนในส่วนของภาคอีสานตอนบนทั้ง 12 จังหวัดพบว่ามีโจรโจรกรรมพระพุทธรูปล้ำค่า พระประจำวัด รวมถึงทรัพย์สินในวัดหลายรายการหายไปในห้วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเขตอุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย จะหายบ่อยมาก จึงได้สั่งการแบ่งกำลังออกสืบสวนจับกุมแก๊งคนร้าย กระทั่งได้เบาะแสของคนร้ายที่ใช้รถยนต์เก๋งยี่ห้อนิสสัน สีดำ ทะเบียน กย-352 อุดรธานี เข้าไปลักทรัพย์ในวัดวันทนียวิหาร ต.เมืองพาน อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี ซึ่งกล้องวงจรปิดจับภาพได้ ต่อมาทราบว่ารถคันดังกล่าวเป็นของบริษัทรถเช่าแห่งหนึ่งในตัวเมืองอุดรธานี มีนายเสกสรร หรือเสก โพธิ์ทน อายุ 30 ปี เป็นผู้เช่า กระทั่งสืบทราบว่าทั้งสามคนแอบไปเช่าหอพัก นนทลี หลังวิทยาลัยสันตพล ถ.อุดร-สกลนคร เพื่อใช้เป็นที่กบดานหลบหนีตำรวจ จึงได้บุกไปจับกุมตัวนายเสกสรรไว้ได้ และติดตามจับนายนวนิตและนายสมรสได้อีกขณะนำพระพุทธรูปไปตระเวนขายตามแหล่งเช่าซื้อพระเครื่องใจกลางเมืองอุดรธานี
พ.ต.ท.ชาญณรงค์ มากพิสุทธิ์ รอง ผกก.สส.กล่าวด้วยว่า หลังจากจับกุมผู้ต้องหาได้ ได้คุมตัวผู้ต้องหาไปตรวจยึดของกลางคืนเป็นพระพุทธรุปล้ำค่าโบราณจำนวน 14 องค์ แต่ละองค์ประเมินค่าไม่ได้ พระพุทธรูปส่วนใหญ่ถูกขายเปลี่ยนมือไปแล้ว ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเงินที่ขายพระพุทธรูปประมาณกว่า 2 แสนบาท ได้แบ่งกันไปเล่นการพนันและซื้อยาบ้ามาเสพ
เบื้องต้นสอบสวน นายเสกสรรให้การรับสารภาพว่า ตนเคยไปทำงานที่ประเทศเกาหลีนานกว่า 3 ปี กลับมาใช้เงินฟุ่มเฟือย เล่นการพนันจนหมดตัว แล้วมาหางานรับจ้างทำที่ตลาดสดเทศบาล ใจกลางเมืองอุดรธานี กระทั่งไปเล่นการพนันเจอกับนายนวนิตและนายสมรสที่ตกงานและมาจากคนละจังหวัดเช่นกัน จึงชักชวนกันไปนอนค้างที่วัดเพราะนายนวนิตเคยเป็นเด็กวัดมาก่อนแล้วชวนกันขโมยพระพุทธรูปและของมีค่าในวัดต่างๆไปขาย
เมื่อได้เงินมากขึ้นก็วางแผนไปเช่ารถยนต์เก๋งมาขับตระเวนไปคุยกับพระตามวัดเพื่อหลอกดูพระพุทธรูปล้ำค่า แล้ววางแผนขโมยตอนพระเผลอ โดยขับรถตระเวนไปทั่วภาคอีสานทั้ง 12 จังหวัด ทั้งหนองคาย บึงกาฬ เลย นครพนม หนองบัวลำภู สกลนคร ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และอุดรธานี เข้าไปขโมยของในวัดเกือบร้อยวัดมาแล้ว แต่พระพุทธรูปส่วนใหญ่ถูกเซียนพระกดราคาแค่องค์ละ 3-5 พันบาท ส่วนสบง จีวร ใหม่ๆก็เอาไปขายตามร้านโดยอ้างว่า เป็นลูกศิษย์วัดพระให้มาขาย ส่วนจีจรพระเก่า จะอ้างว่าเป็นของพระเกจิชื่อดังบ้าง เพื่อที่คนซื้อจะซื้อไปเก็บบูชา
พ.ต.ท.ชาญณรงค์ กล่าวต่ออีกว่า เบื้องต้นได้ข้อมูลการแจ้งความในส่วนของจังหวัดอุดรธานี มี วัดป่าบ้านน้ำเที่ยง ต.อุ่มจาน อ.ประจักษ์ศิลปาคม ,วัดป่าหนองแก ต.นาดี อ.เมือง ,วัดไชยาราม บ้านหนองสวรรค์ ต.เชียงพิณ อ.เมือง ,วัดวันทนียวิหาร ต.เมืองพาน อ.น้ำโสม ,วัดป่าบ้านใหม่ อ.น้ำโสม ,วัดจุมบาล ต.เชียงหวาง อ.เพ็ญ ,วัดป่าบ้านหนองสระใคร อ.เพ็ญ ,วัดบ้านเก่าน้อย ต.หนองบัว อ.เมือง และวัดในจังหวัดหนองบัวลำภู มีวัดภูกระแต อ.เมือง ซึ่งโจรกรรมพระพุทะรูปคู่บ้านคู่เมืองไป 2 องค์ และที่วัดศรีสุวรรณเรไร ต.ด่านช้าง อ.นากลาง ได้พระพุทธรูปไป 2 องค์ ส่วนในจังหวัดอื่นๆกำลังรวบรวมหลักฐานการแจ้งความเพื่อประกอบกับคำรับสารภาพของผ้ต้องหาที่ยอมรับว่าก่อเหตุมาแล้ว 12 จังหวัด จำนวนร่วม 100 วัด
ที่มา>>>ข่าวสด

หมอเปรม เตรียมเข้าแจ้งความกลับนักข่าว ฐานบุกรุกห้องทำงานนายกเทศมนตรี

14695850951469605444lจากกรณีมีการเผยแพร่ภาพข่าวในโซเชียลมีเดีย เป็นภาพบุคคลหน้าคล้ายนพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีต ส.ส.ขอนแก่น นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ในพิธีแต่งงานกับหญิงสาวชั้น “ม.5” นั้น ทำให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปติดตามทำข่าว เพื่อสัมภาษณ์ข้อเท็จจริงจากนพ.เปรมศักดิ์ ที่สำนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เนื่องจากไม่สามารถติดต่อ นพ.เปรมศักดิ์ ได้ ซึ่งเกิดเหตุการณ์กักตัวนักข่าวไว้ภายในสำนักงานตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบเฟซบุ๊ก ดร.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ได้ลงภารกิจประจำวัน โดยระบุว่า “เนื่องจากในแต่ละวัน มีพี่น้องมิตรสหายจำนวนมาก ตลอดทั้งสื่อสารมวลชน ได้ติดต่อผมเข้ามาทุกช่องทางการสื่อสาร ซึ่งผมก็พยายามสนองตอบอย่างเต็มที่ แต่หลายครั้งก็พลาดการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากในแต่ละวันผมมีภารกิจรับใช้พี่น้องประชาชนรัดตัวมาก จึงขอแจ้งกำหนดการในแต่ละวันเพื่อทราบ และกราบขออภัยในความไม่สะดวกดังนี้ครับ08.00น. เข้าแถวเคารพธงชาติ ไหว้พระสวดมนต์ และแผ่เมตตา อันเป็นกิจวัตรทุกวันของเทศบาลเมืองบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ที่ผมได้ริเริ่มให้มีขึ้นนับแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 มกราคม2557เป็นต้นมา
08.30 น. เดินทางไป สภ.บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อสื่อสารมวลชน ฐานบุกรุกห้องทำงานนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่และหน่วงเหนี่ยวบีบคั้นกดดันเพื่อขอข่าวซึ่งไม่มีสาระประโยชน์ใดต่อสาธารณชน อันมีพฤติการณ์ละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิส่วนบุคคล แทนที่จะเปิดโอกาสให้ได้ทำงานบริหารจัดการเพื่อประโยชน์สาธารณะและบริการประชาชนที่รอรับการบริการอยู่ เป็นการตัดโอกาสที่ประชาชนผู้ประสบปัญหาเดือดร้อนต่างๆจะเข้าถึงบริการสาธารณะของภาครัฐ
ที่มา>>>ข่าวสด

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พ่อแม่ใจสลาย! ลูกชาย8ขวบจมน้ำขณะเรียนว่ายน้ำ ครูพยายามปั๊มหัวใจช่วย แต่ไม่เป็นผล

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 26 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษว่า เกิดเหตุเกิดนักเรียกจมน้ำในสระว่ายน้ำของโรงเรียนแห่งหนึ่งในอ.เมืองศรีสะเกษ จึงรุดไปตรวจสอบ พบเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสว่างจิตต์ศรีสะเกษธรรมสถานและคณะครูกำลังช่วยกันปั้มหัวใจของด.ช.หนึ่ง (นามสมมุติ) อายุ 8 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งจมน้ำในสระว่ายน้ำภายในร.ร.อนุบาลศรีสะเกษนานประมาณ 8 นาที เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้รีบนำร่างของด.ช.หนึ่งส่งไปยังโรงพยาบาลศรีสะเกษอย่างเร่งด่วน   เมื่อไปถึงโรงพยาบาลศรีสะเกษ แพทย์พยาบาลได้พยายามปั้มหัวใจนานเกือบชั่วโมง โดยให้ยากระตุ้นหัวใจและกระตุ้นความดันอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งใส่ท่อช่วยหายใจ และสามารถปั้มหัวใจจนชีพจรกลับคืนมา แต่ว่าด.ช.หนึ่งก็ยังไม่รู้สึกตัวจนแพทย์พยาบาลได้ตัดสินใจยุติการช่วยฟื้นคืนชีพ โดยเด็กได้เสียชีวิตที่หอผู้ป่วยหนัก 1 ไอซียู 1 เมื่อเวลา 19.30 น. วันเดียวกันนี้  ร.ต.อ.เจมรัก โสสอน พนักงานสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ ได้เดินทางมาสอบสวน ก่อนเปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ด.ช.หนึ่งได้มาเรียนว่ายน้ำในช่วงหลังเลิกเรียน เพื่อรอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน ซึ่งทางร.ร.ได้จัดให้มีกิจกรรมฝึกสอนว่ายน้ำให้กับเด็ก โดยช่วงเกิดเหตุด.ช.หนึ่งได้ลงเล่นน้ำพร้อมกับเพื่อนๆ ปรากฏว่าด.ช.หนึ่งได้จมลงไปใต้สระน้ำนานประมาณ 8 นาที เนื่องจากว่าสระว่ายน้ำมีความลึกไม่เท่ากัน ก่อนที่เจ้าหน้าที่และคณะครูจะได้ช่วยกันไปนำเอาร่างของด.ช.หนึ่งขึ้นมาบนขอบสระน้ำ และได้ช่วยกันปฐมพยาบาลปั้มหัวใจ  ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กล่าวสำหรับด.ช.หนึ่งเป็นบุตรหลานของนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งของอ.เมืองศรีสะเกษ ซึ่งมีกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้างด้วย การที่ด.ช.หนี่งเสียชีวิตอย่างกระทันหันนี้สร้างความเศร้าโศรกเสียใจแก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องทุกคนเป็นอย่างมาก
ที่มา>>>ข่าวสด

ช็อกศพโผล่!! จนท.เปิดเครื่องดักขยะ-ตกใจร่างคนลอยติด เงินเต็มกระเป๋า

 วันที่ 27 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.ต.เทอดศักดิ์ มนัสชน สว.(สอบสวน) สน.ลุมพินี รับแจ้งเหตุพบศพชาวต่างชาติลอยมาติดตะแกรงดักขยะภายในอาคารรับน้ำแสนเลิศ ชุมชนมาชิม ซอยนายเลิศ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลจุฬาฯ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุ บริเวณตะแกรงตักขยะ พบศพชายชาวต่างชาติ ผิวสี อายุประมาณ 40 ปี สภาพสวมเสื้อยืดคอวี สีครีม โดยมีเสื้อยืดคอกลมสีดำสวมทับอีกชั้น กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน เข็มขัดสีน้ำตาล สวมถุงเท้าสีดำ ไม่สวมรองเท้า เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 วัน ไม่พบเอกสารมีเพียงเงินสดเป็นเงินไทยจำนวน 8 พันบาท อยู่ในกระเป๋ากางเกง เบื้องต้นไม่พบบาดแผลถูกทำร้าย หลังชันสูตรเบื้องต้นได้มอบศพเจ้าหน้าที่มูลนิธินำส่งนิติเวชรพ.จุฬาฯ สอบสวน นายใส หอมจันทร์ อายุ 59 ปี เจ้าหน้าที่ประจำอาคารรับน้ำ ให้การว่า ขณะกำลังเปิดเครื่องดักขยะให้ทำงานตามปกติ เพื่อเก็บขยะที่ลอยอยู่ในคลองแสนแสบ ก็พบศพผู้เสียชีวิตลอยมาติดตะแกรงดักขยะ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.ต.เทอดศักดิ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบผู้เสียชีวิตเป็นชาวต่างชาติ ผิวสี ไม่พบบาดแผลถูกทำร้าย รวมทั้งเอกสารใดๆ ที่จะระบุชื่อและสัญชาติได้ พบเพียงโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง เงินสดจำนวน 7,980 บาท ซึ่งจะได้ให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่บริเวณใกล้เคียงเพื่อตรวจสอบหาเบาะแสผู้เสียชีวิตต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

นศ.หนุ่มชะตาขาด! ซิ่งบิ๊กไบค์ BMW เจอเก๋งกลับรถ เบรกไม่ทัน อัดท้ายเก๋งดับคาที่

เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 25 ก.ค. 59 ร.ต.ท.พีรพัฒน์ มั่นยา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งเหตุรถเก๋งยูเทิร์นถูกจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ชนท้ายคนขับเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ที่บริเวณถนนปทุมติวานนท์ มุ่งหน้าแยกบางคูวัต กม.ที่ 4+800 ตรงข้ามหมู่บ้านเอื้ออาทรบางคูวัด หมู่ที่ 7 ตำบลบางคูวัด อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี  จึงรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยแพทย์เวรจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญ    ที่เกิดเหตุยูเทิร์นกลับรถหน้าหมู่บ้านเอื้ออาทรบางคูวัด พบรถจักรยานยนต์สีดำ ยี่ห้อ BMW S1000 ทะเบียน อยย55 กทม สภาพเสียหายทั้งคัน คนขับชื่อ นายปรัชญา บุญชอบ อายุ 22 ปี  นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะบริหาร มหาวิทยาลัยกรุงเทพ นอนหงายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุอยู่ข้างรถจักรยานยนต์   ฝั่งตรงข้างพบรถเก๋งสีเทา ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน กธ4646 นนทบุรี ท้ายรถด้ายซ้ายถูกชนเสียหายยับ คนขับชื่อนายอำนาจ ผ่องแผ้ว อายุ 60 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากการสอบถามนายอัฑฒอาชว์ จารุปราโมทย์ อายุ 21 ปี เพื่อนผู้ตาย กล่าวว่า ตนกับเพื่อนขับรถไปล้างรถกันมา โดยขับรถจักรยานยนต์มากันคนละคัน จำนวน  3 คน มุ่งหน้าราชพฤกษ์ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเพื่อนที่ขับตามหลังมากลับประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ตนจึงกลับรถจักรยานยนต์มาดูพบว่าเพื่อเสียชีวิตไปก่อนแล้ว    ด้านนายอำนาจ ผ่องแผ้ว คนขับรถเก๋ง กล่าวว่า ตนเองขับรถออกมาจากบ้านเพื่อที่จะไปดูแลลูกน้อง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุกำลังจะกลับรถที่ยูเทิร์นหน้าหมู่บ้านเอื้ออาทรบางคูวัด ซึ่งขณะที่กลับรถนั้นเห็นรถจักรยานยนต์ขับมาอยู่แล้วแต่เห็นว่าไกลมาก และได้หักเลี้ยงได้เพียงชั่วเวลาแป๊บเดียว รถจักรยานยนต์ก็พุ่งมาชนท้ายอย่างจังทำให้รถของตนนั้นหมุนจนมาหยุดอยู่ฝั่งตรงข้างยูเทิร์นดังกล่าว
ส่วนร.ต.ท.พีรพัฒน์ มั่นยา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปทุมธานี ได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมสอบถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์พบว่ารถจักรยานยนต์ทั้งสามคันขับมาด้วยความเร็ว ทั้งนี้จะต้องตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณใกล้เคียงและสอบปากคำเพิ่มเติมจากเพื่อนผู้ตายที่มาด้วยกัน รวมถึงคนขับรถเก๋ง ด้านผู้เสียชีวิตได้ให้เจ้าหน้าที่ส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โรงบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์รังสิต เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตพร้อมประสานญาติมารับศพนำไปทำพิธีทางศาสนาต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด

สังคมสลด! แม่คลอดลูกเสร็จ-ทิ้งชักโครกในปั๊มน้ำมันที่กระบี่ โชคดีเด็กรอดปาฏิหาริย์

เมื่อเวลา 14.30 น.  วันที่ 25 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายประเพียร จันทร์เจริญ รองนายกเทศบาลตำบลคลองพนพัฒนา ได้พบเด็กทารกน้อยเพิ่งคลอดถูกทิ้งในโถส้วมปั๊มซัสโก้ หมู่ที่ 7 บ้านคลองแรด ตำบลคลองพน อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ทางพนักงานปั๊มน้ำมันได้แจ้งทางเทศบาลคลองพนพัฒนา  จากนั้นนายณพรวิศิษฎ์ ผลเงาะ นายกเทศมนตรีเทศบาลคลองพนพัฒนา และนายสัมพันธ์ หญ้าปรัง รองนายกเทศมนตรีฯ ได้ทำการช่วยเหลือเด็กจากที่ถูกทิ้งไว้ในโถส้วมในสภาพเด็กเพิ่งคลอดโดยส่วนศรีษะคว่ำไปข้างไปทางโถส้วม โชคดีที่ได้ช่วยเหลือนำตัวเด็กนำส่งโรงพยาบาลคลองท่อมได้ทัน โดบพบว่าเป็นเด็กทารกเพศหญิง ถูกแม่เพิ่งคลอดนำมาทิ้งในโถส้วมในปั้มใหม่ดังกล่าว  ขณะนี้โรงพยาบาลคลองท่อมได้นำเด็กทารกน้อยดังกล่าวนำไปปฐมพยาบาลเบื้องต้นและดูแลรักษาการ และประกาศหาพ่อแม่ที่แท้จริง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดูแลรักษา เบื้องต้นได้แจ้งความกับสถานีตำรวจภูธรคลองท่อม และแจ้งสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกระบี่ เข้ามาดูแลช่วยเหลือต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

‘ยิ่งลักษณ์’มีของขวัญพิเศษให้วันเกิด‘ทักษิณ’ พี่ชายที่รักเปรียบเสมือนพ่อ

 วันที่ 25 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใกล้ถึงวันเกิด นายทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ในวันที่ 26 ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ภาพคู่กับพี่ชาย พร้อมข้อความในเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ว่า
“พรุ่งนี้(26 ก.ค 2559)จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่ชายที่ดิฉันรักและเปรียบเสมือนคุณพ่อ ดิฉันมีของขวัญพิเศษจะมอบให้ท่าน ขอเชิญชวนทุกท่าน มาร่วมอวยพรวันเกิดท่านที่เพจนี้ ในวันพรุ่งนี้ เริ่มตั้งแต่เวลา 14.00 นเป็นต้นไปนะคะ ขอบคุณค่ะ”
โดยเริ่มมีคนเข้ามาอวยพรวันเกิดให้อดีตนายกฯ ทักษิณ กันตั้งแต่วันนี้แล้ว
ที่มา>>>ข่าวสด

“หมอทอฟฟี่” ผอ.โรงพยาบาล เปิดใจ หัวใจยังว่าง – ขอทุ่มเทเพื่อคนไข้

หลังโลกออนไลน์ มีการแชร์ภาพของหญิงสาวใบหน้าสวยหมดจด แต่มีการระบุชื่อนำหน้าเป็นนายแพทย์ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอกุดข้าวปุ้น แทนจะเป็นแพทย์หญิงตามที่เสนอข่าวไปนั้น
วันที่ 24 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์ศุภฤกษ์ ศรีคำ หรือหมอทอฟฟี่ อายุ 31 ปี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอกุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า เป็นคนจังหวัดอุบลราชธานีโดยกำเนิด มีพี่น้อง 3 คน คนโตเป็นพี่ชาย คนรองเป็นพี่สาว ส่วนนายแพทย์ศุภฤกษ์เป็นคนสุดท้องสำหรับเรื่องราวในวัยเด็กแต่งตัวเป็นนักเรียนชายตามปกติ แม้กระทั่งตอนเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ยังแต่งตัวเป็นผู้ชาย กระทั่งเรียนจบออกมาทำงานได้ระยะหนึ่ง จึงไม่ต้องการปกปิดชีวิตจริงของตนเอง และเลือกที่จะเปิดเผย จึงได้เริ่มแต่งตัวเป็นหญิงตั้งแต่ปี 2554 และเริ่มทยอยแปลงเพศ จนครบสมบูรณ์
ส่วนเรื่องความรักหลังจากเรียนจบมาและเป็นหมอ ก็มีหนุ่มคนรู้ใจ แต่เมื่อทำงานไปสักระยะ ตัวเองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ เนื่องจากต้องทำงานและดูแลรักษาคนไข้ที่โรงพยาบาล ทำให้เกิดความไม่เข้าใจและต้องเลิกรากันไป ตอนนี้ก็โสดและทำงานอย่างเดียว โดยขณะนี้ก็มีหนุ่มๆมาพูดคุยบ้าง แต่ก็คุยในลักษณะเพื่อนกันไปก่อน หรือหากไม่มีเวลาก็จะไม่คุย เพราะอยากทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน
ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้กับคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง เพราะตัวเองชอบเรื่องความสวยความงามอยู่แล้ว ส่วนการแปลงเพศก็เสียค่าใช้จ่ายไปประมาณ 8 แสนบาท
ส่วนการเป็นเพศที่สาม ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับการทำงาน ยังทำงานได้ตามปกติ ที่จริงนอกจากตนแล้ว ยังมีหมอที่เป็นเพศที่สามอยู่ในวงการ แต่บางคนเลือกที่ไม่แสดงออก แต่สำหรับตนเองอยากเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องการซ่อนเร้นความต้องการที่แท้จริง เพราะจะเป็นเพศใดไม่สำคัญขอให้เป็นคนดี ทำดีเพื่อสังคม สังคมก็ยอมรับได้แล้ว
หลังเป็นข่าวก็ไม่ได้รับคำตำหนิจากผู้บังคับบัญชา เพราะปกติผู้ใหญ่ก็ทราบเรื่องที่ของตนอยู่แล้ว มีแต่เพื่อนและครอบครัวที่รู้จักโทรศัพท์มาสอบถามไปทำอะไร ถึงได้เป็นข่าวใหญ่โต เพราะสงสัย เนื่องจากตนก็แต่งตัวเป็นหญิงมาตั้งนานหลายปี แต่เพิ่งมาเป็นข่าวในช่วงนี้ พร้อมส่งรูปที่ลงหนังสือพิมพ์มาให้ดูด้วย ขณะที่คุณแม่ก็ตกใจเช่นนี้ที่เป็นข่าว โดยครอบครัวและที่บ้านค่อนข้างจะตั้งตัวไม่ทันกับกระแสข่าวความโด่งดัง ซึ่งหลังเป็นข่าวไปก็มีรายงานทีวีติดต่อเข้ามาให้ไปออกรายการหลายแห่ง ทั้งช่อง 3 และรายการปากโป้ง โดยเตรียมที่จะไปออกตั้ง 2 รายการในวันที่ 25 ก.ค.นี้
สำหรับโรงพยาบาลอำเภอกุดข้าวปุ้น เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง มีแพทย์ประจำการอยู่ 4 คน มีบุคลากรทำหน้าที่ต่างๆรวม 135 คน มีคนไข้เข้ามารับการตรวจรักษา
ด้านนายแพทย์สุรพร ลอยหา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึง นายแพทย์ศุภฤกษ์ จะพบกับคุณหมอในช่วงที่มีประชุมหลายครั้ง และทราบว่าปกติอัธยาศัยของคุณหมอเป็นกันเองกับเพื่อนร่วมงาน และคนไข้ จึงเป็นที่รักของผู้มาใช้บริกา รรวมทั้งคุณหมอยังเป็นคนตั้งใจทำงาน แม้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่ก็ยังเข้าเวรเป็นแพทย์เวรตามปกติ การแต่งตัวเป็นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะปัจจุบันเพศที่สามเป็นที่ยอมรับของสังคม จึงถือเป็นสิทธิ์ส่วนตัว ถ้าไม่ทำให้งานในหน้าที่เสียหาย
ที่มา>>>ข่าวสด

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รวบ 2 พี่น้องทุบหัวหนุ่มนักศึกษาม.ดัง ปืนลั่นทะลุเพดานโรงอาหาร โพสต์เฟซข่มขู่เหยื่อ

 เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 23 ก.ค. พ.ต.อ.สมบัติ หงษ์ทอง ผกก.สน.คลองตัน พ.ต.ท.วิชัย ณรงค์ รอง ผกก.สส.สน.คลองตัน พ.ต.ท.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ สว.สส.และ พ.ต.ท.ยงยอด สิทธิสาร สว.สส. ร่วมกันนำกำลังตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.คลองตัน จับกุมนายสุริยันต์ หรือต้น ประจักษ์ความ อายุ 24 ปี และนายศรายุทธ หรือเต๋า ประจักษ์ความ อายุ 20 ปี ผู้ต้องหา พร้อมของกลางอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืน ขนาด .38 จำนวน 4 นัด และเสื้อยืดแขนสั้น สีดำ ด้านหลังสกรีนรูปสมอเรือสีขาว จำนวน 1 ตัว โดยสามารถจับกุม นายสุริยันต์ หรือตัน ได้ที่บริเวณถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร ส่วนนายศรายุทธ หรือเต๋า จับได้ที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 235/106 หมู่ 5 หมู่บ้านเฟื้องฟ้า 15 โครงการ 3 ถนนเทพารักษ์ ซอยมังกร-นาคดี ตำบลแพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 22 ก.ค. เวลาประมาณ 15.00 น. ที่ผ่านมา สืบเนื่องมาจากเมื่อช่วงสายของวันที่ 22 ก.ค. ตำรวจสน.คลองตันรับแจ้งว่ามีเหตุร่วมกันทำร้ายร่างกาย โดยมีอาวุธปืนบริเวณใต้อาคาร 3 ซึ่งเป็นโรงอาหาร ภายในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ย่านถนนพัฒนาการ จึงนำกำลังไปทำการตรวจสอบพบนายอิทธิศักดิ์ แสงกฤษ อายุ 20 ปี ผู้เสียหาย ได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวบาดแผลแตก ก่อนรีบนำส่งรพ.ไปก่อนหน้านี้ จากนั้นตำรวจ ฝ่ายสืบสวน สน.คลองตันจึงลงพื้นที่ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ จนทราบว่านายสุริยันต์ หรือตัน และ นายศรายุทธ หรือเต๋า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุใช้ด้ามอาวุธปืนกระบอกดังกล่าว ทุบเข้าที่ศีรษะผู้เสียหาย ส่งผลให้ปืนลั่นกระสุนยิงทะลุเพดานอาคารดังกล่าว โชคดีที่ไม่มีคนถูกลูกหลงแต่อย่างใด ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเบาะแสว่าบ้านพักของ นายศรายุทธ อยู่ที่ย่านถนนเทพารักษ์ จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พบนายศรายุทธขณะนั่งอยู่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 235/106 หมู่ 5 หมู่บ้านเฟื้องฟ้า 15 โครงการ 3 ถนนเทพารักษ์ ซอยมังกร-นาคดี ตำบลแพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ จึงแสดงตัวขอตรวจค้นบ้านพักพบของกลางทั้งหมด ก่อนนำตัวสอบสวน ที่สน.คลองตัน ต่อมาไม่นาน นายสุริยันต์เดินทางเข้ามอบตัวกับทางตำรวจ ที่ สน.คลองตัน โดยทางตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น จากการสอบสวน นายศรายุทธ ให้การยอมรับสารภาพว่าร่วมกับ นายสุริยันต์ ซึ่งเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดังกล่าว ก่อเหตุทำร้ายร่างกายนายอิทธิศักดิ์ เพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้นายสุริยันต์มีเรื่องทะเลาะกับผู้เสียหาย จนมีการลงไม้ลงมือกัน ต่อมานายศรายุทธซึ่งเป็นน้องชายนายสุริยันต์ ได้โพสภาพโชว์ปืนและข้อความท้าทายผู้เสียหาย กระทั่งเมื่อช่วงสายวานนี้ ผู้ต้องหาทั้งสองมาพบกับนายอิทธิศักดิ์ ได้นำอาวุธปืนไปทำร้ายร่างกายก่อนหลบหนีไป จนมาถูกจับกุมดังกล่าว
เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันทำร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร, ชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด

แถลงการณ์พระอาการ “ฟ้าหญิง” ฉบับที่ 4 ทรงมีภาวะตับอ่อนอักเสบกำเริบ คณะแพทย์ฯให้ทรงงดพระกรณียกิจ

 เมื่อวันที่ 22 ก.ค. สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ฉบับที่ 4 ความว่า ตามที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มีพระอาการประชวรจากภาวะตับอ่อนอักเสบ อีกทั้งคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้ตรวจพบก้อนเนื้องอกที่พระศอ (คอ) และทรงเข้ารับการถวายการผ่าตัดซึ่งสำเร็จเรียบร้อยด้วยดี ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2559 ดังที่ได้แถลงให้ทราบตามแถลงการณ์ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2559 นั้น คณะแพทย์ฯ โรงพยาบาลวิชัยยุทธได้ติดตามพระอาการอย่างต่อเนื่องและพบว่า ทรงมีพระอาการประชวรจากภาวะตับอ่อนอักเสบกำเริบเป็นระยะ และรุนแรงขึ้นตามลำดับ รวมทั้งยังมีพระอาการเจ็บกล้ามเนื้อบริเวณพระศอ (คอ) ที่เคยทรงได้รับการถวายการผ่าตัดและที่บริเวณใกล้เคียง เป็นผลให้พระวรกายเคลื่อนไหวไม่สะดวกขณะทรงงาน
คณะแพทย์ฯ จึงมีความเห็นร่วมกันขอพระราชทานกราบทูลให้ทรงงดการปฏิบัติพระกรณียกิจ รวมถึงการเสด็จออกรับบุคคล และคณะบุคคล ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
ที่มา>>>ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แม่ดับสยองคาเก๋ง!! ลูกชายซิ่งเสยใต้ท้องสิบล้อ บาดเจ็บพร้อมแฟนสาว

 เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 22 ก.ค. ร.ต.อ.ประเดิม พร้อมสัตย์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุตรดิตถ์ รับแจ้งอุบัติเหตุรถเก๋งชนรถบรรทุกสิบล้อมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบนถนนสายเอเซีย หลักกิโลเมตรที่ 317-318 พิษณุโลก-เด่นชัย ขาเข้าเมืองอุตรดิตถ์ หมู่ 6 บ้านบึงหลัก ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ รุดยังที่เกิดเหตุพร้อมแพทย์หญิงณัฐกานต์ บุญธรรม แพทย์เวรโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ และหน่วยกู้ภัยวัดหมอนไม้ พบรถยนต์เก๋งสีขาว ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นพริอุส หมายเลขทะเบียน ฆค-6419 กรุงเทพมหานคร ชนท้ายรถบรรทุกสิบล้อ ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 70-1780 พระนครศรีอยุธยา ซึ่งจอดอยู่ข้างทาง ในลักษณะสอดอยู่ใต้รถบรรทุก สภาพด้านหน้ารถตั้งแต่กันชนไปจนถึงห้องเครื่องยนต์พังยับเยิน ไม่ต่างไปจากเศษเหล็ก ตรวจสอบภายในรถยนต์เก๋งด้านหน้าบริเวณที่นั่งคู่คนขับ พบผู้เสียชีวิต ทราบชื่อ คือ นางระเบียบ มหิงษ์ อายุ 62 ปี อยู่แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ในสภาพถูกเครื่องยนต์อัดก๊อปปี้เข้าไปถึงตัวที่นั่ง โครงเหล็กของตัวรถยนต์ได้บาดเข้าที่บริเวณแขนด้านซ้ายขาดหลุดเป็นชิ้นน่าสยดสยองต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก ที่บริเวณลำคอศีรษะหักหมุนได้รอบ เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องนำเครื่องมือตัดถ่างช่วยกันงัดเอาร่างผู้เสียชีวิตออกมาจากรถยนต์ ใช้เวลาตัดถ่างประมาณ 15 นาที สามารถนำศพออกมาได้
อุบัติเหตุครั้งนี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 ราย เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้นำตัวส่งโรงพยาบาล ทราบชื่อภายหลังว่า นายอภิชาติ มหิงษ์ อายุ 37 ปี คนขับรถยนต์เก๋ง และเป็นบุตรชายของผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บจุกเสียดและแน่นหน้าอก จากผลพวงของถุงลมนิรภัยที่ช่วยไม่ให้เสียชีวิต พร้อม น.ส.วิมลวรรณ เจาะจง อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นแฟนสาว ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหน้าอกเช่นกัน เพราะเกิดจากแรงกระแทกขณะนอนหลับอยู่เบาะด้านหลังที่นั่งคนขับ ทั้งหมดได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อไปธุระเยี่ยมญาติที่จังหวัดแพร่
จากการสอบสวนทราบว่า รถยนต์บรรทุกสิบล้อ ขับโดยนายทนงศักดิ์ ไวว่อง อายุ 51 ปี อยู่ ต.โพธิ์ออก อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ซึ่งขับรถบรรทุกยาสีฟันเพื่อเตรียมไปส่งให้กับลูกค้า ที่ จ.แพร่ และขับมาถึงจุดเกิดเหตุมีไฟสว่างรายทาง จึงจอดเพื่อลงปัสสาวะ โดยจอดอยู่ข้างทาง เพียงไม่กี่นาที ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นอยู่ที่บริเวณท้ายรถบรรทุก เมื่อเดินไปดู พบรถยนต์เก๋งเสยเข้าที่บริเวณท้ายรถสิบล้อแล้วในลักษณะมุดเข้าใต้ท้องรถ จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนข้อเท็จจริงอยู่ระหว่างการสอบสวน เพราะนายอภิชาติ คนขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้ายังไม่สามารถให้การได้ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ
ที่มา>>>ข่าวสด

ปู่ย่าร้อง หลานสาวถูกเพื่อนรักพ่อข่มขืนจนท้อง หลังคลอดลูกหายตัวลึกลับ!!

 วันที่ 22 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง ต.โนนหมากเค็ง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว หลังนายเอ (นามสมมติ) อายุ 68 ปี และ นางบี (นามสมมติ) อายุ 60 ปี ปู่กับย่า ได้ร้องเรียนไปที่สื่อมวลชน ว่า นางสาวซี (นามสมมติ) หลานสาวอายุ 15 ปี เป็นนักเรียนอยู่ชั้นม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอวัฒนานคร ได้ถูกเพื่อนของลูกชายตนเองซึ่งเป็นพ่อของ นางสาวซี ชื่อ นายนิ่ม อายุ  34 ปี หลอกว่าจะพาไปส่งบ้าน หลานสาวเห็นว่าเป็นเพื่อนของพ่อ จึงติดรถกลับบ้านด้วย แต่นายนิ่มกลับพาหลานสาวเลี้ยวเข้าไปยังสวนสมเด็จพระนเรศวร อำเภอวัฒนานคร แล้วใช้กำลังปลุกปล้ำ หลานสาว จนสำเร็จความใคร่ไป 4 ครั้ง หลังจากนั้น ได้ใช้มีดปลายแหลมบังคับข่มขู่ห้ามหลานสาวนำเรื่องที่ถูกข่มขืนไปบอกใคร ไม่เช่นนั้นจะฆ่าทิ้ง แล้วนายนิ่มก็พาหลานสาวมาส่งที่บ้าน ขณะที่ผู้เป็นย่า บอกว่า หลานสาวถูกหลอกไปข่มขืนตั้งแต่เดือน ก.ย. 2558 หลังจากนั้น ประมาณ 1 เดือนเศษ หลานสาวก็ตั้งท้องทางโรงเรียนจึงให้ออกจากโรงเรียนมาอยู่บ้าน เนื่องจากหลานสาวแพ้ท้องอย่างรุนแรง ตนเองจึงสอบถามหลานสาว หลานสาวจึงเล่าให้ฟังว่าถูกนายนิ่มเพื่อนรักของพ่อ หลอกไปข่มขืน ตนเองจึงนำตัวหลานสาวเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.กตัญญู พวงเกาะ พนักงานสอบสวนร้อยเวร สภ.วัฒนานคร ซึ่งทางตำรวจก็พาหลานสาวไปทำแผนจุดที่หลานสาวถูกข่มขืน แต่จนบัดนี้ เรื่องก็เงียบหาย
ล่าสุด หลังหลานสาวคลอดลูกเป็นผู้ชาย ได้ 2 เดือนเศษ จึงพาลูกชายไปตรวจที่โรงพยาบาลวัฒนานคร เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา แล้วก็หายตัวไปทั้งแม่ทั้งลูก ตนเองและแม่ของนางสาวซี อายุ 33 ปี ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สมชาย อยู่ระ พนักงานสอบสวน ร้อยเวร สภ.วัฒนานคร แต่เรื่องก็เงียบหายอีก ตอนนี้ หายตัวไปเดือนกว่าแล้ว ยังติดต่อหลานสาวไม่ได้เลย ตนเองจึงต้องมาร้องทุกข์กับทางสื่อมวลชนเนื่องจากเป็นห่วงหลานสาวมาก
เนื่องจากนายนิ่ม เป็นลูกอดีด นายก อบต. และมีญาติเป็นกำนัน มีอิทธิพลมาก เคยข่มขืนผู้หญิงในหมู่บ้าน แต่ทางญาติผู้หญิงที่ถูกข่มขืนก็ไม่กล้าเอาเรื่อง นายนิ่มได้อาฆาตหลานสาวเอาไว้ว่า หากไปแจ้งความจะฆ่าให้ตาย และตัวของนายนิ่มเอง ก็ติดยาบ้าอีกด้วย
ผู้เป็นย่าของนางสาวซี บอกว่า สงสารหลานสาว ชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็ก หลังคลอดได้เพียง 2 เดือน ลูกชายของตนกับแม่ของนางสาวซี ก็แยกทางกัน แล้วเอาหลานมาให้ตนเลี้ยง ตนเองเลี้ยงมาด้วยความรัก ดูแลหลานเป็นอย่างดี ไม่น่ามาทำกับหลานสาวอย่างนี้เลย ทั้งๆ ที่นายนิ่ม ก็เป็นเพื่อนรักกับพ่อของนางสาวซี ข้าวปลาก็มากินอยู่ที่บ้านอยู่เป็นประจำ สมัยลูกชายยังอยู่ที่บ้าน
ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปยังสวนสมเด็กพระนเรศวร ที่อำเภอวัฒนานคร ซึ่งนางสาวซี ระบุว่า นายนิ่ม เพื่อนพ่อได้พาตนเองมาข่มขืน ในสวนแห่งนี้ พบว่า ภายในสวนไม่มียามดูแล เป็นที่เปลี่ยว และมีพื้นที่กว้างขวางมาก ซึ่งชาวบ้านบอกว่า เป็นที่มั่วสุมของเด็กวัยรุ่น
ที่มา>>>ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สาวญี่ปุ่นปลื้ม โชเฟอร์แท็กซี่โร่คืนทรัพย์สิน หลังลืมไว้บนรถ

วันที่ 20 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายชาตรี จิตจูน อายุ 36 ปี โชว์เฟอร์แท็กซี่โตโยต้า อัลติส สีส้ม หมายเลขทะเบียน ทย 5753 กรุงเทพมหานคร เดินทางเข้าพบพ.ต.อ.นคร ทองพานิช ผกก.สน.บางรัก ร.ต.อ.ประเสริฐ บัวแก้ว รอง สว.สส. เพื่อนำทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่มมาส่งคืน หลังเก็บได้ภายในรถแท็กซี่ของตน เพื่อนำส่งคืนเจ้าของพ.ต.อ.นคร เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ ตำรวจ สน.บางรักได้รับแจ้งจาก น.ส.ยูริ อายุ 19 ปี นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ว่าได้ขึ้นรถแท็กซี่คันดังกล่าว จากย่านสี่พระยา มาลงซอยพัฒพงษ์ แล้วลืมทรัพย์สินเป็นเงินสด 4,000 บาท โทรศัพท์ไอโฟน 6 จำนวน 1 เครื่อง บัตรเครดิต 2 ใบ และพาสปอร์ต 1 เล่ม ไว้บนรถแท็กซี่ จึงมาแจ้งความ สน.บางรัก เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา“จากนั้น ร.ต.อ.ประเสริฐ ได้ประสานไปยังอู่สหกรณ์บวรแท็กซี่ ต้นสังกัดแท็กซี่ดังกล่าว กระทั่งสามารถติดต่อโชว์เฟอร์คนดังกล่าวได้ พร้อมกับให้นำทรัพย์สินมาคืนเจ้าของได้ภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง ตามนโยบายของ ผบช.น. “ทำดี ทำได้ ทำทันที รุกรบ จบเร็ว” พ.ต.อ.นคร กล่าวขณะที่ ร.ต.อ.ประเสริฐ กล่าวว่า หลังจากนักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่นลืมของไว้ นายชาตรี ได้พยายามขับรถวนกลับมายังจุดที่ส่งผู้โดยสาร แต่ไม่พบจึงตั้งใจจะนำมามอบคืน กระทั่งมีทางตำรวจประสานมาดังกล่าว ด้านน.ส.ยูริ รู้สึกประทับใจ และขอบคุณการทำงานของตำรวจไทยที่สามารถติดตามทรัพย์สินมาคืนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมนำขนมมามอบเพื่อเป็นขวัญกำลังใจอีกด้วย
ที่มา>>>ข่าวสด

แม่ค้าเครียดจ่ายหนี้นอกระบบวันละ2พัน-ผูกคอตาย เขียนจม.บอกให้เผาเลย ไม่ต้องทำพิธีศพ

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 20 ก.ค. ร.ต.อ.ถิรวัฒน์ ฟักประไพ ร้อยเวรสอบสวน สภ.สามโคก จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งเหตุมีหญิงเขียนจดหมายลาตายก่อนผูกคอตายใต้ถุนบ้านเลขที่ 113/20 หมู่ 2 ต.สามโคก จึงไปในที่เกิดเหตุพร้อมมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง   ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนโล่งมีห้องแยกอยู่ใต้ถุนบ้าน 1 ห้อง พบศพนางวิรานุช จิตรโคตร อายุ 47 ปี อาชีพขายลูกชิ้นปิ้ง นอนเสียชีวิตอยู่กับพื้น สภาพนอนคว่ำหน้าสวมเสื้อสีแดงใส่กางเกงขาสั่นสีขาว ที่บริเวณคอมีเชือกไนลอนสีเขียวปลายเชือกถูกตัดขาด และที่ขื่อบ้านมีเชือกไนลอนสีเขียวผูกไว้ เนื่องจากผู้ตายผูกคอตายและญาติมาพบจึงตัดเชือกเพื่อนำร่างผู้ตายลงมา
ทั้งนี้ได้พบจดหมายที่ผู้ตายได้เขียนทิ้งไว้ภายในห้องนอน ระบุว่า “หนูขอกราบขอโทษพี่อีกครั้ง จะเป็นครั้งสุดท้ายต่อนี้ไปพี่จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ใจกับหนูอีก.. พี่ดีเกินไป เกินจนหนูไม่กล้ารบกวนพี่อีก ขอพี่ไม่ต้องทำพิธีอะไร ขอหลวงพ่อที่วัด ขอเผาเลย ไม่ต้องสวดไม่ต้องมีพิธี เผาเลยพี่ หนูรักพี่นะ พี่ช่วยดูแลหมาแมวให้หนูด้วย..”   จากการสอบถาม น.ส.พัชรีวรรณ จิตรโคตร อายุ 52 ปี พี่สาวผู้เสียชีวิต กล่าวว่า น้องสาวมีอาชีพขายลูกชิ้นปิ้งหน้าวัดสิงห์ ที่ผ่านมาบ่นว่าเครียดเรื่องหนี้สิน เนื่องจากมีหนี้นอกระบบหลายเจ้า และต้องจ่ายเงินทุกวันๆละ 2,000 บาท น้องขายลูกชิ้นปิ้งได้วันละประมาณ 1,400 บาท และกำลังจะทำเรื่องกู้กับธนาคาร และยังไม่ได้ยืนหนังสือแต่อย่างใดก็มาเกิดเหตุเสียก่อน
“น้องสาวเคยพยายามผูกคอตายมาแล้วแต่ฉันมาพอก่อน ได้บอกกับน้องว่าหนี้สินพี่สามารถช่วยใช้ให้ได้นะ แต่ถ้าน้องตายพี่ไม่มีเงินทำศพให้นะ และวันนี้น้องสาวได้สอนสูตรผสมน้ำจิ้มลูกชิ้นให้แก่หลานสาว ฉันก็เอะใจ พบว่าน้องสาวได้ซื้อยาเบื่อหนูมาผสมกับเบียร์ แต่ตนเองมาพบก่อนจึงห้ามไว้ได้ แต่ได้น้องกลับมาผูกคอตายที่ใต้ถุนบ้านอีก เมื่อฉันมาพบก็สายไปแล้ว
ร.ต.อ.ถิรวัฒน์ ฟักประไพ ร้อยเวรสอบสวน สภ.สามโคก จ.ปทุมธานี ได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมสอบถามญาติถึงสาเหตุการตาย อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้นำศพส่งนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อหาสาเหตุการตายก่อนให้ญาติไปทำพิธีทางศาสนาต่อไป
ที่มา>>>ข่าวสด

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขอติดรถไปนวดคลายเส้น!! จยย.ชนสนั่นกระบะ สองหนุ่มใหญ่กระเด็นดับคาถนน

 เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 ก.ค. ร.ต.อ.แทนไทย บุดดาวงศ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.นาแก จ.นครพนม รับแจ้งอุบัติเหตุรถชนกันมีผู้เสียชีวิตในพื้นที่หน้าปากทางเข้าตลาดสดเทศบาล ต.นาแก รุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์เวร ร.พ.นาแก กู้ชีพ 1669 กู้ภัยศรีคุณ
ที่เกิดเหตุถนนทางหลวงหมายเลข 2033 ฝั่งขาออกตัวอำเภอ เยื้องกับร้านรุ่งจิตรไฟแนนซ์ พบรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ สีแดงคาดขาว ทะเบียน กษก 967 นครพนม ล้มคว่ำซุกอยู่หน้าท้องรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า 4 ประตู สีขาว ทะเบียน กษ 3850 นครพนม ที่กระโปงหน้ารถบุบงอเสียหาย พบนายสถาพร วัดโสภา อายุ 25 ปี ชาว จ.หนองคาย คนขับรถกระบะยืนรอให้การด้วยอาการตื่นตระหนก ใกล้กันพบศพนายนิน บุตรดี วัย 66 ปี คนขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว สภาพนอนคว่ำหน้า ขาซ้ายหัก เลือดออกปากเสียชีวิตคาที่ ใกล้กันยังพบศพนายเฉลิมพล เพชรเจริญรัตน์ อายุ 68 ปี สภาพศพนอนหงายหน้า ขาซ้ายหัก ท้ายทอยมีเลือดไหลนองพื้น เสียชีวิตคาที่รวม 2 ศพ
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า รถกระบะของนายสถาพร ขับออกจากตัวอำเภอจะไป ต.พระซอง เพื่อมุ่งหน้าเข้า อ.เรณูนคร ขณะขับมาถึงที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ที่มีนายนิน เป็นคนขับจะไปซ่อมนาฬิกาที่ตลาด มีนายเฉลิมพล ขอซ้อนท้ายจะไปนวดแผนโบราณโดยทั้งคู่ขับจาก ต.พระซอง เพื่อจะเลี้ยวเข้าปากทางตลาดสดซึ่งเป็นจุดกลับรถ กระทั่งชนประสานงาเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนสาเหตุอย่างละเอียดให้แน่ชัดอีกครั้ง
ที่มา>>>ข่าวสด

ปิดตำนาน!! คู่รักอมตะ แม่อุ้ยวัย105ปี สิ้นลมสงบ ตามพ่ออุ้ยสามีที่เพิ่งจากไป

 ปิดตำนาน คู่รักอมตะ อายุ 105 ปี ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้ฝ่ายชายคือ พ่ออุ้ยปัน เสียชีวิตลงด้วยวัย 105 ปี จากนั้น อีก 1 เดือนต่อมาฝ่ายหญิง แม่อุ้ยติ๊บ ก็เสียชีวิตตามกันไป ด้วยอายุ 105 ปีเท่ากัน รวมใช้ชีวิตร่วมกันนาน 89 ปี
เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 18 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 115 หมู่ 3 บ้านจอมคีรี ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ แม่อุ้ยติ๊บ อายุ 105 ปี ภรรยาพ่ออุ้ยปัน แก้วใจมา อายุ 105 ปี คู่รักอมตะ ได้เสียชีวิตด้วยโรคชรา หลังจาก ที่โด่งดังเรื่องของการครองรักยาวนานและอายุยืนถึง 105 ปีเท่ากันทั้งคู่ นายคำวงศ์ แก้วใจมา บุตรชายของคู่รักอมตะ ของแม่อุ้ยติ๊บ กล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา แม่อุ้ยติ๊บ อายุ 105 ปี ได้เสียชีวิตด้วยโรคชราแล้วอย่างสงบ หลังอายุได้ 105 ปี ซึ่งอายุยืนยาวนานที่สุด อีกทั้งยังสร้างความฮือฮาเรื่องของการครองรักกับพ่ออุ้ยปัน ที่เป็นสามี แบบผัวเดียวเมียเดียว ครองรักกันจนอายุถึง 105 ปี ซึ่งเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 59 ที่ผ่านมา พ่ออุ้ยปัน อายุ 105 ปี ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้า ด้วยโรคชรา สร้างความโศกเศร้าให้กับแม่อุ้ยติ๊บอย่างมาก จากนั้นเพียงเดือนกว่า แม่อุ้ยติ๊บ ก็เสียชีวิตตามกันไป ปิดตำนานรักอันแสนยาวนานลงแล้ว
โดยการเสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชราของคู่รักทั้งคู่ เสียชีวิตที่บ้านเลขที่ 115/3 บ้านจอมคีรี ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบรรดาญาติพี่น้อง และประชาชนในพื้นที่ อ.เชียงดาว
ซึ่งแม่อุ้ยติ๊บ แก้วใจมา อายุ 105 ปี ภรรยาที่ครองรักกันมานานกว่า 89 ปี หลังจากที่พ่ออุ้ยปัน เสียชีวิตไป แม่อุ้ยติ๊บ ก็ได้แต่นั่งเฝ้าศพด้วยสีหน้าโศกเศร้าต่อการจากไปของสามีสุดที่รัก และสุดท้ายภายใน 1 เดือนเศษแม่อุ้ยติ๊บ ก็เสียชีวิตตาม ด้านนายสราวุธ วรพงษ์ นายอำเภอ เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ตนขอยกย่องในการใช้ชีวิตของคู่รักทั้งสอง ที่นับเป็นคู่รักที่ครองรักกันมาอย่างยาวนานกว่า 89 ปี อายุเท่ากันคือ 105 ปี เพราะที่ผ่านมาตำนานคู่รักคู่นี้ก็ถูกกล่าวขานจนเป็นข่าวใหญ่โตทั่วประเทศ มีนักท่องเที่ยวหรือคู่รักจากต่างจังหวัด เดินทางมาพบเพื่อถามวิธีครองรัก รวมถึงให้สองพ่อเฒ่ามัดมือมันเท้าให้เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งการจากไปของผู้เฒ่า นับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจต่อทุกฝ่ายเป็นอย่างมาก แต่ตำนานของท่านทั้งสองก็จะยังคงเป็นอมตะ แบบอย่างของผัวเมียที่ครองรักกันแบบผัวเดียวเมียเดียวตลอดไป
สำหรับประวัติของคู่รักอมตะคู่นี้ พบรักกันตั้งแต่อายุ 16 ปี เพราะเป็นคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ก่อนจะแต่งงานครองรักกันมาจนถึงปัจจุบันกว่า 89 ปี โดยทั้งสองใช้ชีวิต ด้วยการปลูกผักกินเอง ทำเป็นยาสมุนไพรจากพืชผักที่ปลูกรอบบ้าน การกินก็กินข้าวกับผัก น้ำพริก และอาหารอื่นๆ ไม่กินอาหารที่มีรสจัด ไม่กินเค็ม ไม่ใส่ผงชูรส ทั้งสองไม่เคยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว เน้นการครองรักแบบใส่ใจ ห่วงใย เข้าใจชีวิต ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 8 คน เสียชีวิตไปแล้ว 3 คน เหลืออยู่ 5 คน ซึ่งลูกแต่ละคนก็มีหลานรวมทั้งหมดครอบครัวกว่า 100 คน การปิดตำนานคู่รักอมตะครั้งนี้ ผู้ที่ครองเรือนจะยึดเป็นแบบอย่างที่ดีในชีวิตคู่สืบไป
ที่มา>>>ข่าวสด