วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

กินผักผลไม้ 10 ชนิดต่อวัน ช่วยอายุยืน


รายงานในวารสารระบาดวิทยานานาชาติอ้างอิงผลวิจัยของ "ดร.ดาร์ฟินน์ แอนเน" นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกรุงลอนดอน เกี่ยวกับระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย ในกลุ่มตัวอย่าง 95 รายที่ชอบรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ เผยว่า "พวกเขาจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรน้อยลง คิดเป็นจำนวนประมาณ 7.8 ล้านคนต่อปี หากกินผักและผลไม้มากกว่า 10 ชนิดต่อวัน" ซึ่งจากการวิจัยลักษณะของผักและผลไม้กว่า 10 ชนิด โดยเฉพาะที่ให้พลังงานจำนวน 800 กรัมต่อวัน พบว่าแอปเปิลลูกขนาดกลางจะให้พลังงาน 182 กรัม
ทั้งนี้นักวิจัยคาดว่า ต้องรับประทานผักและผลไม้ให้ได้ 10 ชนิดต่อวันจะลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจลงได้ ร้อยละ 24, ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองลดลงร้อยละ 33, ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง 28% ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลดลง 13% โดยรวมแล้วการบริโภคผักและผลไม้ จะลดความเสี่ยงทุกโรคที่กล่าวมา ลงได้ถึงร้อยละ 31 ถ้าเทียบกับการไม่กินผักและผลไม้อะไรเลย

สำหรับผลไม้และผักที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจหากบริโภคบ่อยๆ ได้แก่ แอปเปิล ส้ม และผักโขม ส่วน "ผักตระกูลกะหล่ำ" เช่น บร็อกโคลี กะหล่ำปลี พริกไทย และถั่วเขียว จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
นักวิจัยระบุว่า ผักและผลไม้จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต เสริมสร้างหลอดเลือดให้แข็งแรง และสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ประกอบกับในผักและผลไม้มีกากใยและสารอาหารที่ซับซ้อนอยู่ภายใน หรืออธิบายได้ว่ากลุ่มอาหารดังกล่าวประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก จึงช่วยซ่อมแซม DNA ในร่างกายที่เสื่อมลง จากสิ่งแวดล้อมหรืออายุที่เพิ่มมากขึ้นให้กับมาแข็งแรงได้
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

จริงหรือไม่? “ยาฉีด” หายเร็วกว่า “ยากิน”


หลายคนที่ไม่สบาย แล้วอยากให้ไข้ลดลงเร็วๆ อาจมีการกราบกรานอ้อนวอน ขอให้หมอช่วยฉีดยาให้ ด้วยคิดว่ายาฉีดออกฤทธิ์แรงกว่า เร็วกว่า แล้วหลังจากนั้นก็จะขอยาฉีดอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าราคาจะสูงกว่ายากินก็ตาม แต่ก็คิดเสียเองว่า เป็นไข้เมื่อไร ยาฉีดเท่านั้นถึงจะเอาอยู่ เรื่องนี้จริงหรือไม่

ยาฉีด VS ยากิน
จริงๆ แล้ว ยาฉีด กับยากิน หากมีระดับยาที่เท่ากัน จะออกฤทธิ์ได้เท่ากัน ต่างกันเพียงระยะเวลาในการออกฤทธิ์ ซึ่งโดยหลักการใช้ยาแล้ว แพทย์จะคำนึงถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ในการเลือกชนิดยาให้กับผู้ป่วย มากกว่ามุ่งเป้าไปที่การออกฤทธิ์เร็วแต่เพียงอย่างเดียว การใช้ยากิน จึงค่อนข้างปลอดภัยกว่า
อันตรายจากยาฉีด
แม้ยาฉีดจะออกฤทธิ์เร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงไม่น้อย เพราะเมื่อฉีดยาเข้าเส้นเลือด ยาจะเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที หากพบว่าผู้ป่วยแพ้ยา หรือได้รับยาผิด ก็จะมีอาการผิดปกติอย่างรวดเร็ว และรุนแรงกว่ายากินมากเช่นกัน
นอกจากนี้ ยาฉีดยังมีราคาสูงกว่ายากิน นอกจากจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในเรื่องของยาโดยใช่เหตุแล้ว เราควรเตือนตัวเองว่า ยาฉีดอันตรายมากกว่ายากิน
ผู้ป่วยขอยาฉีดกับหมอเองได้หรือไม่?
การขอยาฉีดนั้น ควรพิจารณาโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย และคุ้มค่า
 ดังนั้นครั้งหน้า อย่าคิดไปเองว่าต้องเป็นยาฉีดเท่านั้นถึงจะรักษาหาย ให้แพทย์เป็นผู้พิจารณายาที่เหมาะสมในการรักษาให้เราเองจะดีกว่าค่ะ
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

อากาศร้อนแบบนี้ อาบน้ำอุ่น หรือน้ำเย็นดีนะ?


ว่าแต่... ร้อนๆ แบบนี้ หลายคนคงเลือกอาบน้ำเย็นๆ ให้สดชื่นกันใช่ไหมคะ
แต่อากาศร้อนผ่าวๆ ที่ทำให้ผิวเราร้อนไปด้วย ไปเจอกับน้ำเย็นเข้าจังๆ จะเป็นอะไรไหมนะ
หรือว่าเราควรจะอาบน้ำอุ่น? หากใครสงสัยเหมือนเรา ตามมาอ่านคำตอบชัดๆ 
อาบน้ำร้อน-อาบน้ำเย็น
น้ำร้อนที่ว่า ไม่ได้หมายถึงน้ำร้อนๆ เดือดปุดๆ หรอกนะคะ จริงๆ ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือน้ำอุ่น มักอยู่ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสขึ้นไป ส่วนตัวหากเราอาบน้ำตอนเช้าๆ ที่ออกมาจากห้องน้ำที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำใหม่ๆ เราจะชอบอาบน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 38-39 องศาเซลเซียสค่ะ ระดับอุณหภูมิขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเนอะ แต่ถ้าไปไกลกว่า 40 องศา เราว่ามันจะเริ่มร้อนเกินไปจนแทบจะลวกเส้นมาม่าได้ละ
และแน่นอนว่าน้ำเย็น ก็มีตั้งแต่อุณหภูมิเท่าร่างกายปกติที่ 37 องศาเซลเซียส ไปจนถึงระดับที่เย็นกว่านี้ 10 องศาเซลเซียส หรืออยู่ที่ 27 องศาเซลเซียส บางคนอาจจะโยนน้ำแข็งลงไปในบ่อพักน้ำ เพื่อให้น้ำเย็นสดชื่นยิ่งกว่าเดิม อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลเช่นกัน
แล้วเราควรเลือกอาบน้ำที่อุณหภูมิแบบไหนดีล่ะ?
 ประโยชน์ของการอาบน้ำอุ่น
การอาบน้ำอุ่นทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น กระตุ้นประสาทให้ร่างกาย และจิตใจผ่อนคลาย และลดอาการบวมเท้า บวมขา ยืดเส้นยืดสายหลังจากที่ใช้ร่างกายมาอย่างหนักได้ เช่น หลังออกกำลังกายหรือเดิน-วิ่งนานๆ
แต่ไม่ควรอาบ หรือแช่น้ำอุ่นนานจนเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้ผิวแห้งจากการสูญเสียความชุ่มชื้นไปกับอุณหภูมิร้อนๆ ของน้ำแล้ว ยังอาจทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้าจนเกินไป และไม่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคประจำตัว
ดังนั้น การอาบน้ำอุ่น เหมาะสำหรับการอาบเพื่อปรับสภาพร่างกายหลังออกกำลังกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และจิตใจก่อนเข้านอน หลังอาบน้ำอุ่นควรทาครีมบำรุงผิวในขณะที่รูขุมขนยังเปิดอยู่ เพื่อให้ครีมยำรุงซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการอาบน้ำเย็น
แน่นอนว่าอุณหภูมิเย็นๆ ของน้ำจะช่วยปลุกการทำงานของระบบประสาทให้ตื่นขึ้น  ให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่นแจ่มใส นอกจากนี้ยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวพรรณเต่งตึง ระหว่างอาบน้ำเย็นสามารถตบที่ผิวเบาๆ เพื่อปลุกการทำงานของระบบประสาทเพิ่มยิ่งขึ้นได้อีกด้วย
แต่หากน้ำเย็นเกินไป ก็ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเราอีกเช่นกัน โดยเฉพาะยิ่งการสระผมด้วยน้ำเย็นจัด หากสุขภาพไม่แข็งแรงมากพอ อาจทำให้ไม่สบายได้
ดังนั้นเราแนะนำให้อาบน้ำเย็นในตอนเช้า เพื่อปลุกร่างกายให้สดชื่นแจ่มใสพร้อมรับวันใหม่ และคลายความง่วง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเย็นเสมอไป แค่เป็นน้ำอุณหภูมิห้อง หรืออุณหภูมิร่างกายก็พอค่ะ

อากาศร้อนจัด อาบน้ำอุ่น หรือน้ำเย็นดี?
หากเพิ่งโดนแดดเผามาใหม่ๆ อุณหภูมิของผิวกำลังร้อนๆ รุ่มๆ แนะนำว่าอย่าเพิ่งอาบน้ำในทันที ควรนั่งพักในที่ๆ อากาศถ่ายเทสะดวก หรือจะในห้องปรับอากาศก็ได้ หาน้ำเย็นมาดื่มให้ชื่นใจ จนความร้อนผ่าวตามผิวลดลงเท่ากับอุณหภูมิในห้อง คราวนี้จะเลือกอาบน้ำอุ่น หรือน้ำเย็นก็ได้หมดถ้าสดชื่นค่ะ

หากจะสระผม ควรเลือกน้ำอุณหภูมิปกติที่ 37 องศาเซลเซียส หรือต่ำกว่านี้ได้อีก 1-2 องศา หากน้ำเย็นเกินไปจะทำให้ไม่สบาย หากน้ำอุ่น หรือร้อนเกินไป จะทำให้หนังศีรษะ และผมแห้งเกินไป
ที่มา:sanook

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

5 ผลไม้คลายร้อน เย็นชื่นใจ น้ำตาลไม่สูง ไม่อ้วน


หน้าร้อนมาทีไร ทุกคนก็พยายามสรรหาเคล็ดลับทุกสิ่งอย่างที่จะช่วยคลายร้อนกันมากมาย นอกจากแอร์ และพัดลมจะช่วยคลายร้อนภายนอกร่างกายได้แล้ว เราต้องคล้ายร้อนจากภายในกันด้วย “อาหาร” ที่เราทาน ซึ่งก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “ผลไม้” ยิ่งแช่มาเย็นๆ ยิ่งอร่อยชื่นใจ

จะมีผลไม้อะไรบ้างที่ช่วยคลายร้อน พร้อมคุณค่าทางสารอาหารดีๆ พร้อมน้ำตาลน้อย ไม่อ้วนกันบ้าง 


  • มะพร้าว

เมื่อนึกถึงหน้าร้อน หลายคนก็ต้องนึกถึงทะเล ชายหาด และต้นมะพร้าว มะพร้าวมาพร้อมทั้งเนื้ออ่อนๆ เคี้ยวมันเพลินปาก และน้ำมะพร้าวที่ชื่นฉ่ำใจ นอกจากช่วยคลายร้อนแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งเต่งตึง และแก้กระหายได้เป็นอย่างดี


  • แตงโม

จะมีผลไม้หน้าร้อนใดๆ ดีเท่าแตงโม ยิ่งเป็นแตงโมปั่นยิ่งฟินเวอร์ เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะ และน้ำตาลไม่สูงอย่างที่ตรงกับโจทย์ของเราเป๊ะ นอกจากดับกระหายได้ดี รสชาติไม่หวานจนเกินไปแล้ว ยังมีแคลอรี่ต่ำ มีไลคีน และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ผิวพรรณ และเส้นผมแข็งแรง บำรุงสายตา และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง และโรคหัวใจอีกด้วย


  • แก้วมังกร

นอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีเนื้อฉ่ำๆ ทานง่าย มีกากใยอาหารที่เหมาะสมแก่การขับถ่าย แล้วยังน้ำตาลน้อยอีกด้วย แถมยังช่วยดับกระหาย คลายร้อน ป้องกันการโรคหัวใจ และหลอดเลือด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย บำรุงผิว และลดความดันโลหิตได้ด้วย


  • แคนตาลูป / เมล่อน

ใครชอบผลไม้ไทยก็เลือกแคนตาลูป หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และรสชาติไม่หวาน แต่หากใครอยากเพิ่มหวานอีกนิด เนื้อนุ่มอีกหน่อย และอยากหรูขึ้นมาอีก 0.5 เท่า เราแนะนำเมล่อน โดยเฉพาะเมล่อนญี่ปุ่น มันเกิดมาเพื่อเป็นผลไม้หน้าร้อนจริงๆ ทานแล้วจะช่วยบำรุงผิว ชะลอวัย บำรุงสายตา บำรุงระบบประสาท และสมอง ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน แถมยังช่วยลดไข้ได้อีกด้วย


  • แอปเปิ้ล

แอบเปิ้ลแช่เย็นก็ฟินอย่างบอกใครเหมือนกันนะ จะนำมาปั่นทานเป็นสมูทตี้โดยใส่โยเกิร์ตก็อร่อยไม่แพ้ผลไม้อื่นๆ ยิ่งใครชอบรสหวานนิดเปรี้ยวนำ เราแนะนำแอปเปิ้ลเขียว นอกจากเป็นผลไม้สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักอย่างแท้จริงแล้ว ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง วิตามินซีสูง ป้องกันหวัด แล้วยังช่วยบำรุงให้หัวใจแข็งแรงอีกด้วย

ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

4 สมุนไพรไทยไล่ยุง ป้องกันโรคติดต่อสารพัด


ระเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้นอยู่แทบจะตลอดทั้งปี เป็นไปไมได้เลยที่จะไม่พบ “ยุง” ตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน ริมห้วยหนองคลองบึง รวมไปถึงในป่าดิบชื้น นอกจากจะสร้างความรำคาญ และรอยแผลบวมๆ คันๆ บนเรือนร่างของเราให้เกาจนถลอกกันแล้ว ยุงหลายชนิดยุงเป็นพาหะในการพาโรคติดต่อต่างๆ มาสู่เราด้วย เช่น โรคไข้เลือดออก โรคมาลาเรีย โรคเท้าช้าง เป็นต้น


การป้องกันขั้นแรกคือ การป้องกันตัวเองไม่ให้โดนยุงกัด ซึ่งสามารถหาสมุนไพรไทยมาช่วยไล่ยุงกันได้ง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก และยังปลอดภัยต่อร่างกายมากกว่าสารเคมีอื่นๆ อีกด้วย วิธีที่นิยมคือการใช้น้ำมันที่สกัดมาจากพืนสมุนไพรของไทย วิธีที่ง่ายที่สุดคือการต้มสมุนไพรนั้นๆ กับน้ำแล้วเก็บไอน้ำที่กลั่นออกมาใช้เป็นน้ำมันหอมระเหย

  1. ตะไคร้หอม
น้ำมันที่สกัดมาจากตะไคร้หอม หรือครีม โลชั่น เครื่องประทินผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้หอมมากกว่า 17% จะช่วยป้องกันทั้งยุงลาย ยุงรำคาญ และยุงก้นปล่องได้ราว 1-4 ชั่วโมง
  1. ตะไคร้
ตะไคร้หอม (citronella grass) และตะไคร้บ้าน (lemongrass) เป็นคนละชนิดกัน ตะไคร้หอมจะมีกาบใบสีขาวอมแดง หรืออมม่วง ลำต้นบางกว่า และกาบใบบางกว่าตะไคร้บ้าน ลำต้นหยาบ และเหนียวว่าตะไคร้บ้าน และตะไคร้บ้านรสชาติดีกว่าตะไคร้หอม  จึงนิยมนำตะไคร้บ้านมาทำอาหารมากกว่า แต่ถึงกระนั้นกลิ่นของตะไคร้บ้านก็ช่วยไล่ยุงได้เช่นกัน น้ำมันตะไคร้ 20-25% สามารถป้องกันยุงลายได้ 100% ใน 1 ชั่วโมงแรก แล้วค่อยๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่สามารถป้องกันยุงรำคาญได้นานถึง 1-3 ชั่วโมงเช่นกัน
  1. มะกรูด
น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดใช้ป้องกันยุงได้นานถึง 95 นาที หรือ 1.35 ชั่วโมง และยาทากันยุงที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกรูด 25-50% จะมีฤทธิ์ป้องกันยุงนานถึง 30-60 นาที
  1. สะเดา
นอกจากจะจิ้มน้ำปลาหวานทานอร่อยแล้ว น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากสะเดายังช่วยป้องกันยุงได้อีกด้วย โดยสบู่อาบน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำมันสะเดา 1% สามารถไล่ยุงได้นานถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

พบน้ำดื่มบรรจุขวดกว่า 90% มีไมโครพลาสติกปนเปื้อน


องค์การอนามัยโลก (WHO) สั่งทดสอบความเสี่ยงที่อาจเกิดจากพลาสติก หลังจากการตรวจสอบล่าสุดพบว่า น้ำดื่มบรรจุขวดชื่อดังหลายยี่ห้อกว่า 90% มีชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กที่เรียกว่าไมโครพลาสติกปะปนอยู่ในขวด
โดยการวิจัยครั้งนี้ ได้ทำการสุ่มกรวดน้ำดื่มชื่อดัง 11 ยี่ห้อ จำนวน 259 ขวด จาก 19 พื้นที่ ใน 9 ประเทศ อันประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา จีน บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก เลบานอน เคนยา และไทย
ผลการตรวจสอบพบว่า โดยน้ำดื่มโดยเฉลี่ยมีปริมาณไมโครพลาสติกปะปนอยู่ที่ 325 เม็ดต่อปริมาณน้ำหนึ่งลิตร  ยี่ห้อที่มากที่สุดมีปริมาณไมโครพลาสติกปะปนอยู่ถึง 10,000 เม็ด โดยหลังจากตรวจสอบน้ำดื่มทั้ง 259 ขวดแล้ว พบว่ามีเพียง 17 ขวดเท่านั้น ที่ไม่มีไมโครพลาสติกปะปนอยู่

นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยกล่าวว่า อนุภาคพลาสติกที่พบในน้ำดื่มบรรจุขวดเหล่านี้ มีปริมาณมากกว่าที่เคยตรวจพบในน้ำประปาถึงประมาณสองเท่า
สำหรับชนิดของพลาสติกที่ถูกตรวจพบนั้น ส่วนใหญ่เป็นโพลีโพรพิลีน (Polypropylene) ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดที่นำมาใช้ทำฝาบรรจุขวดนั่นเอง  
สำหรับเรื่องนี้โฆษกขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวจาก The Guardian ว่า  แม้ในขณะนี้จะยังไม่มีรายงานถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกที่มีต่อร่างกายมนุษย์ แต่ทาง WHO ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้มีการจัดตั้งทีมค้นคว้าวิจัย เพื่อศึกษาถึงความเสี่ยงของเรื่องนี้อย่างรอบด้านแล้ว
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

10 ปัจจัยเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยิน


หูเป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่สำคัญไม่ควรมองข้าม เพราะทำให้เราได้ยินและสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ บางคนอาจเคยประสบปัญหากับอาการหูอื้อ หูตึง หรือหูดับเฉียบพลัน ซึ่งอาจมีการสูญเสียการได้ยินเพียงชั่วคราวแล้วก็หาย แต่บางคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อม หรือมีอาชีพเสี่ยงที่ต้องได้ยินเสียงดังเป็นเวลานานๆ การสูญเสียการได้ยินในลักษณะนี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป การได้ยินจะค่อยๆแย่ลงโดยไม่รู้ตัว 

กฎหมายจึงกำหนดว่าที่ทำงานต้องมีการจัดทำแผนโครงการอนุรักษ์การได้ยิน ไม่เพียงแต่เสียง  ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องอื่นๆ อีก คือ
  1. การแคะหู ทำให้มีขี้หูอุดตัน ช่องหูอักเสบติดเชื้อ เสี่ยงต่อเยื่อแก้วหูทะลุ ทำให้สูญเสียการได้ยินได้ ความจริงแล้วเราไม่ควรแคะหูเพราะขี้หูถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยป้องกันผิวหนังของรูหูจากสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำ เหงื่อ รวมไปถึงเชื้อโรค ฝุ่นละออง ปกติขี้หูที่สะสมอยู่จะแห้งหลุดออกมาได้เองจึงไม่จำเป็นต้องปั่นหรือแคะ  การทำความสะอาดหูให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำ บิดพอหมาดเช็ดบริเวณใบหูและรูหูเท่าที่นิ้วจะเช็ดเข้าไปได้เท่านั้น
  2. การเป็นหวัดทำให้ท่อปรับความดันที่ต่ออยู่ระหว่างช่องคอกับหูชั้นกลางบวม ความดันในหูชั้นกลางผิดปกติ ไม่สามารถปรับความดันให้เท่ากับบรรยากาศภายนอกได้ คนไข้จะรู้สึกหูอื้อหรือปวดหู
  3. การสั่งน้ำมูกแรงๆ ทำให้มีของเหลว น้ำมูกย้อนไปขังในหูชั้นกลาง หากของเหลวนั้นไม่สามารถระบายออกมาได้มักทำให้มีการอักเสบของหูชั้นกลาง คนไข้มักมีอาการหูอื้อหรือปวดหู
  4. การได้รับเสียงดังมากๆ เช่น เสียงระเบิด เสียงประทัด อาจทำให้เยื่อแก้วหูฉีกขาด กระดูกหูหลุดหรือประสาทหูเสื่อมได้
  5. การฟังเสียงดัง เช่น การฟังเพลงในที่ที่มีเสียงรบกวน เราจะเพิ่มความดังเสียงโดยไม่รู้ตัว หรือการที่ต้องทำงานสัมผัสเสียงดังๆ เช่น เสียงเครื่องจักร และไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียง มักทำให้ประสาทหูชั้นในเสื่อมได้
  6. ประสาทหูเสื่อมแบบเฉียบพลัน คนไข้มักมีอาการหูดับแบบเฉียบพลันหรือรู้สึกว่าการได้ยินลดลงแบบเฉียบพลัน เกิดได้จากหลายสาเหตุ
  7. โรคหูน้ำหนวก คือ โรคที่มีการอักเสบของหูชั้นกลางแบบเรื้อรัง มีเยื่อแก้วหูทะลุและอาจมีน้ำหรือหนองไหลออกจากหู อาการมักเป็นๆหายๆ ระยะเวลามากกว่า 3 เดือน
  8. โรคหินปูนเกาะที่กระดูกหูชั้นกลาง เกิดจากหินปูนที่เจริญผิดปกติในหูชั้นกลาง เกาะระหว่างฐานของกระดูกโกลนกับช่องรูปไข่ ซึ่งเป็นช่องทางติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน ทำให้เสียงไม่สามารถผ่านจากหูชั้นกลาง เข้าไปในหูชั้นในได้ตามปกติ ทำให้หูอื้อหรือหูตึง นอกจากนั้นอาจเกิดหินปูนเจริญผิดที่ในหูชั้นใน หรือหินปูนที่ผิดปกติในหูชั้นกลางปล่อยเอนไซม์บางชนิดเข้าไปในหูชั้นใน ทำให้มีเสียงดังในหู หรือเวียนศีรษะบ้านหมุนได้
  9. โรคประจำตัว ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไต ไขมันในเลือดสูง ทำให้ประสาทหูชั้นในเสื่อม
  10. เนื้องอกที่เส้นประสาทการได้ยิน มักมีการสูญเสียการได้ยินข้างเดียว โดยที่ความแตกต่างของระดับการได้ยินของหูทั้ง 2 ข้างมักต่างกันเกิน 40 เดซิเบลขึ้นไป คนไข้มักบอกว่าได้ยินเสียงแต่ไม่สามารถแปลความหมายจากสิ่งที่ฟังได้ (ได้ยินแต่ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร) บางคนอาจมีอาการเดินเซ เวียนศีรษะบ้านหมุนร่วมด้วย
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

ร้อนนี้ ระวังน้ำแข็งไม่สะอาด อาหารบูด


นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากสภาพอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นในช่วงนี้ เหมาะแก่การเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคหลายชนิด ซึ่งอากาศที่ร้อนแบบนี้ยังทำให้อาหารบูดเสียได้ง่ายกว่าปกติ รวมถึงการบริโภคน้ำจากตู้กดน้ำและน้ำแข็งที่ไม่สะอาด ไม่มีคุณภาพ ทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ

สำหรับสถานการณ์โรคอาหารเป็นพิษในประเทศไทย ข้อมูลนากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม - 26 กุมภาพันธ์ 2561 พบผู้ป่วยแล้ว 22,950 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 15-24 ปี รองลงมา อายุ 25-34 ปี และ 45-54 ปี ส่วนจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ลำพูน อำนาจเจริญ ตราด อุบลราชธานี และร้อยเอ็ด ตามลำดับ

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า โรคอาหารเป็นพิษเกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำ น้ำแข็ง ที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรค (แบคทีเรีย ไวรัส และพยาธิ) สารพิษ หรือสารเคมี ซึ่งมักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารไม่สะอาด และอาหารที่ปรุงไว้นานแล้ว ไม่ได้แช่เย็นหรือไม่นำมาอุ่นก่อน ในส่วนน้ำแข็งที่ประชาชนรับประทาน อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ จากภาชนะเก็บที่ไม่ได้มาตรฐาน สกปรกหรือวิธีการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ นอกจากนี้ 10 เมนูอาหารเสี่ยงในช่วงหน้าร้อนที่ประชาชนควระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
1. ลาบ/ก้อยดิบ
2. ยำกุ้งเต้น
3. ยำหอยแครง/ยำทะเล
4. ข้าวผัดโรยเนื้อปู
5. อาหารหรือขนมที่มีส่วนประกอบของกะทิสด
6. ขนมจีน
7. ข้าวมันไก่
8. ส้มตำ
9. สลัดผัก
10. น้ำแข็ง ที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน
แนะนำประชาชนก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ขอให้สำรวจอาหารก่อน หากมีกลิ่น รส หรือรูปเปลี่ยนไป ไม่ควรรับประทานต่อ อาหารที่ไม่เปลี่ยนแปลงควรอุ่นอาหารให้ร้อนก่อนรับประทาน พร้อมยึดหลัก "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" 
ที่มา:sanook

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561

5 อาหาร ไม่ควรทานในหน้าร้อน




สภาพอากาศร้อนแรงแสบผิวในบ้านเรา อาจทำให้อาหารต่างๆ เสียเร็วขึ้น แต่หากมองในแง่ของผลหมากรากไม้ เกษตรกรผู้ที่มีไร่ผลไม้น่าจะชอบใจ เพราะผลไม้เขตร้อนหลายชนิดกำลังออกผลงามมากมาย แต่ก็ใช่ว่าผลไม้ทุกชนิดจะเหมาะกับการทานในหน้าร้อน มีอะไรที่ควร ไม่ควรทานกันบ้าง

  1. ทุเรียน ลำไย ขนุน ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง

จริงๆ ไม่ว่าจะหน้าไหน การทานทุเรียน และผลไม้น้ำตาลสูงอย่าก็ต้องควบคุมปริมาณไม่ทานมากเกินไปอยู่แล้ว เพราะทานมากก็อ้วน และอาจส่งผลต่อโรคอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น แต่สำหรับหน้าร้อนแล้ว เรายิ่งควรทานทุเรียนให้น้อย เพราะอาจทำให้เป็นแผลร้อนใน เจ็บคอ ไอ มีไข้ ปวดศีรษะ จุกแน่นท้อง ครั่นเนื้อครั่นตัว หรือตาแดงได้

  1. อาหารมัน อาหารทอด
ไม่ว่าจะไก่ทอด ลูกชิ้นทอด กล้วยแขก และอื่นๆ อีกมากมาย อาหารทอด และอาหารมัน ยิ่งทำให้ร่างกายได้รับพลังงานสูงขึ้น เพราะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงอยู่แล้ว ยิ่งเจอกับอากาศร้อนๆ เข้าไปอีก นอกจากจะอ้วนง่ายขึ้นแล้ว ยังเสี่ยงเป็นร้อนใน เจ็บคออีกด้วย
  1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายรู้สึกร้อนวูบวาบจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเส้นเลือด ดังนั้นหากไม่อยากร้อนไปกว่านี้ ก็เลี่ยงแอลกอฮอล์จะดีกว่า

  1. เนื้อแดง เนื้อวัว เนื้อแพะ
เนื้อสัตว์เหล่านี้ให้พลังงานสูงเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้สั่งเป็นเนื้อติดมัน แต่จริงๆ แล้วเนื้อเล่านี้มีไขมันแทรกอยู่ทั่วทุกส่วนโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ยิ่งใครทานเป็นประเภทปิ้งย่างด้วย คงเข้าใจดีว่าไขมันเยอะขนาดไหน ร้อนกันขนาดนี้แล้ว อย่าเพิ่งเพิ่มไขมันในพุงกันมากไปกว่านี้เลยเนอะ

  1. หอม กระเทียม
เราเป็นคนหนึ่งที่ทานกระเทียมมากๆ แล้วจะเจ็บคอ สาเหตุเพราะกำมะถันตัวเดิมกับที่พบในทุเรียน และผลไม้รสหวานหลายชนิด ที่ทำให้ร่างกายร้อนเกินไป ดังนั้นทานได้แต่อย่ามากค่ะ
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

9 วิธีดูแลสุขภาพช่องคลอดให้ปราศจากกลิ่น


สูตินรีแพทย์แนะนำผู้หญิงดูแลสุขภาพช่องคลอดให้ปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ 9 วิธี หากมีกลิ่นผิดปกติร่วมกับตกขาวปริมาณมาก มีสีและลักษณะที่ผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์หรือสูตินรีแพทย์ทันที


ปกติผู้หญิงทุกคนจะให้ความสำคัญกับความสะอาดของร่างกาย เพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกาย โดยเฉพาะกลิ่นของช่องคลอด ซึ่งปกติช่องคลอดของผู้หญิงจะมีกลิ่นคาวอ่อนๆ แต่กลิ่นอาจจะแรงขึ้นบ้างในช่วงใกล้มีประจำเดือนทั้งนี้ มีสาเหตุจากฮอร์โมนเพศที่ทำให้เกิดการมีประจำเดือนโดยอาจเกิดร่วมกับการมีตกขาว สีขาวเหมือนแป้งเปียก หรือขาวใสเล็กน้อย
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิงทุกคน ขอแนะนำ 9 วิธี ดูแลสุขภาพช่องคลอดให้ปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ ดังนี้
1. ไม่ควรโกนขนอวัยวะเพศ เพราะขนอวัยวะเพศ ช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ช่องคลอดได้
2. ไม่ใส่กางเกงยีนส์หรือกางเกงคับติ้วเพราะจะทำให้เกิดความอับชื้นมากยิ่งขึ้น
3. ทำความสะอาดแบบเช็ดหน้าไปหลัง ป้องกันเอาเชื้อโรคจากรูทวารหนักเข้ามาทางช่องคลอด 
4. รักษาความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำสะอาด ร่วมกับสบู่ที่อ่อนโยน ไม่ใช้น้ำยาเฉพาะจุดซ่อนเร้นเพราะจะไปฆ่าแบคทีเรียชนิดดี ทำให้ติดเชื้อง่าย
5. ไม่สวนล้างช่องคลอดเพราะทำให้ช่องคลอดมีภาวะเป็นด่าง เพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่สร้างกลิ่น ขณะเดียวกันยังลดแบคทีเรียแลคโตบาซิลัส ที่ช่วยกำจัดเชื้อรา
6. ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะรับประทานเอง เพราะจะทำลายแบคทีเรีย "แลคโตบาซิลลัส"
7. เลี่ยงการใช้แผ่นอนามัยแบบบางทุกวัน เพราะจะทำให้อวัยวะเพศอับชื้น
8. รักษาความสะอาดกางเกงใน สวมใส่กางเกงในที่ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดตึงมาก
9. งดของหมักดองและอาหารทะเล เพราะในอาหารดังกล่าวมีสารเคมีกระตุ้นตกขาว และทำให้เกิดปฏิกิริยาอักเสบระคายเคือง
 หากช่องคลอดมีกลิ่นผิดปกติร่วมกับตกขาวปริมาณมาก มีสีและลักษณะที่ผิดปกติ เช่น เหลือง หรือเป็นมูก มูกปนเลือด หรือเป็นเลือด มีผื่นในบริเวณอวัยวะเพศเพศ คัน แสบผิวหนังส่วนอวัยวะเพศหรือช่องคลอด  เกิดการเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เจ็บแสบเมื่อปัสสาวะ หรือปัสสาวะขุ่น อย่านิ่งนอนใจขอให้รีบพบแพทย์ หรือสูตินรีแพทย์ทันที
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

ปริมาณไขมันทรานส์ในอาหาร ยิ่งสูงยิ่งเสี่ยงโรค


ไขมันทรานส์ คือไขมันที่เป็นตัวร้ายที่ก้อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายสารพัด ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นจนเกินมาตรฐาน รอบเอวที่หนาขึ้น ไขมันที่เกาะอยู่ภายในหลอดเลือดต่างๆ จนเป็นสาเหตุของโรคอันตรายมากมาย เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดสมองตัน จนเป็นอัมพฤกต์ อัมพาต หรือโรคหัวใจวายเฉียบพลันได้
รศ.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เราไม่ควรทานอาหารที่มีปริมาณไขมันทรานส์มากกว่า 0.5 กรัม หรือ 500 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค และใน 1 วันไม่ควรทานไขมันทรานส์เกิน 2.2 กรัม หรือ 2,200 มิลลิกรัม ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าอาหารชนิดได มีปริมาณไขมันทรานส์สูง และควรระมัดระวังในการทานบ้าง


ปริมาณไขมันทรานส์ในอาหาร ต่อ 100 กรัม
  • พายกรอบ 163 มิลลิกรัม
  • คุกกี้เนย 309 มิลลิกรัม
  • ทอฟฟี่เค้ก 373.7 มิลลิกรัม
  • บราวนี่ 286 มิลลิกรัม
  • ขนมปังเนยสด 104 มิลลิกรัม
  • พายทูน่า 395 มิลลิกรัม
  • แยมโรล 262 มิลลิกรัม
  • เค้กเนย 400 มิลลิกรัม
  • เค้กผลไม้ 236 มิลลิกรัม
  • เค้กกล้วยหอม 258 มิลลิกรัม
  • ขนมปังไส้กรอก 263 มิลลิกรัม
  • โดนัท (ไส้บาวาเรียน) 675 มิลลิกรัม
  • แซนวิชทูน่า 247 มิลลิกรัม
  • แซนวิชแฮมชีส 227 มิลลิกรัม
  • แฮมเบอร์เกอร์หมู 226 มิลลิกรัม
  • แฮมเบอร์เกอร์ไก่ 102 มิลลิกรัม
  • เอแคลร์ 211 มิลลิกรัม
  • คัสตาร์ดเค้ก 105.67 มิลลิกรัม
  • ข้าวโพดคั่ว 142 มิลลิกรัม
  • ขนมขาไก่ 288 มิลลิกรัม
  • ขนมปังทาเนยอบกรอบ 219 มิลลิกรัม
  • โดนัทโรยน้ำตาล 159 มิลลิกรัม
  • เวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลต 396 มิลลิกรัม
  • คุกกี้แซนวิชสอดไส้ครีมรสนม 224 มิลลิกรัม
  • เค้กสอดไส้ครีมคัสตาร์ด 378 มิลลิกรัม
  • ปลาซิวแก้ว 397 มิลลิกรัม
  • หมี่กรอบ 166 มิลลิกรัม
  • ข้าวโพดทอด 234 มิลลิกรัม
  • มันฝรั่งทอด 329 มิลลิกรัม
  • หมูทอด 260 มิลลิกรัม
  • ไก่ทอด 239 มิลลิกรัม
  • เนื้อทอด 245 มิลลิกรัม
  • เต้าหู้ทอด 184 มิลลิกรัม
  • ปาท่องโก๋ 187 มิลลิกรัม
  • ซาลาเปาทอด 141 มิลลิกรัม

 เท่านี้เราก็รู้ปริมาณของอาหารที่เราควรทานกันคร่าวๆ แล้วว่า เราควรทานมากน้อยแค่ไหน เพื่อไม่ให้ร่างกายของเรามีปริมาณไขมันทรานส์มากเกินไป อาหารเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ แต่ควรจำกัดปริมาณในการทานให้ดี มิฉะนั้นโรคภัยต่างๆ อาจถามหาคุณได้เร็วๆ นี้
ที่มา:sanook

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

สมุนไพรไทยชั้้นดี ลดการอักเสบของแผล ไพล ไม่ใช่ขมิ้น!


ไพล หรือว่านไพล เป็นสมุนไพรที่มีลักษณะเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน เปลืองสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีเหลืองแกมเขียว มีรสชาติฝาด ฉ่ำน้ำ ร้อนซ่า และมีกลิ่นเฉพาะ หากเป็นเหง้าไพลแก่จะมีรสเผ็ดเล็กน้อย
ความแตกต่างของไพล และขมิ้นสด
หากดูภายนอกหลังจากผ่าเหง้าดูแกนด้านในแล้ว จะเห็นว่าขมิ้นชันจะมีแกนสีเหลืองส้มเข้ม ในขณะที่ไพลจะเป็นสีเหลืองปนเขียวอ่อน


ประโยชน์ของไพล
ไพล เป็นที่รู้จักของคนไทยในฐานะยารักษาแผลที่ช่วยลดอาการปวดบวมอักเสบ รักษาแผลฟกช้ำดำเขียว เพราะมีองค์ประกอบเคมีที่สำคัญตัวหนึ่งคือ (1)(E)-4(3’,4’-dimethylphenyl) but-3-ene ซึ่งจากการทดลองกับหนูทดลองพบว่า มีฤทธิ์ต้านการอักเสบเป็นสองเท่าของยา  diclofenac เลยทีเดียว เพราะไพลจะออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase และ lipoxygenase นั่นเอง
นอกจากนี้ หากนำมาบริโภค เหง้าไพลยังเป็นยารักษาหอบหืด แก้อาเจียน แก้ปวดฟัน  แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเดิน ช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการท้องผูก ลำไส้อักเสบ และยังช่วยขับประจำเดือนสำหรับสตรีอีกด้วย
 
ข้อควรระวังในการใช้ไพลเป็นสมุนไพร
หากรับประทานไพลในปริมาณมาก หรือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป อาจส่งผลต่อตับได้ การทานไพลเพื่อรักษาโรคหอบหืด ยังต้องได้รับการควบคุม หรือแนะนำจากแพทย์ นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่กำลังให้นมบุตร รวมไปถึงการใช้ไพลเพื่อรักษาแผล ระวังอย่าใช้ในบริเวณใกล้ดวงตา หรือเนื้อเยื่ออ่อน
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

น้ำตาล VS เกลือ อันไหนทำร้ายร่างกายมากกว่ากัน?


เมื่อพูดถึงเรื่องของน้ำตาล และเกลือ นั้นเราได้ยินกันมากว่า ถ้ารับประทานในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่แน่นอนว่าทั้งน้ำตาล และเกลือ ต่างก็มีความสำคัญต่อร่างกายของเรา สมอง ต้องการน้ำตาลเพื่อเพิ่มพลังงาน กล้ามเนื้อ ต้องการเกลือเพื่อความสมดุล เป็นต้น

Niket Sonpal ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก Touro College ในนิวยอร์ค กล่าวว่า การรับประทานน้ำตาล และเกลือ ที่มากจนเกินไปนั้น จะส่งกระทบต่อสุขภาพของเรามากมาย ลองมาดูผลกระทบของร่างกายจากน้ำตาลกันก่อนดีกว่า

น้ำตาล
ถ้าเราลองดูอาหารธรรมชาติ อย่าง นม และน้ำผลไม้ 100% อาหารพวกนี้ มีน้ำตาลจากธรรมชาติ และมีพลังงานอยู่จำนวนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็มีคุณค่าอาหารอื่นๆ ด้วย เช่น วิตามิน เกลือแร่ โปรตีนในนม และโพลีฟีนอล ส่วนเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลอย่างเช่นน้ำอัดลม ชาผสมน้ำตาล พวกนี้ จะมีน้ำตาลเป็นหลัก ในขณะที่มีคุณค่าอาหารอื่นอยู่น้อย พวกขนมของขบเคี้ยวอื่น ๆ ก็เช่นกัน อาหารพวกนี้ ไม่มีกากใยอาหาร โปรตีน วิตามิน หรือแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากนัก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกอะไรที่คนที่รับประทานของพวกนี้เข้าไปมากๆ จะกลายเป็นโรคอ้วน และขาดสารอาหารที่จำเป็น
Kaleigh McMordie ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจากเท็กซัส กล่าวว่า น้ำตาลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทรายขาว น้ำเชื่อม หรือน้ำตาลแดง ต่างก็ให้ผลต่อร่างกายไม่แตกต่างกัน นั้นคือ มันจะไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นเหตุให้มีการผลิตอินซูลิน ร่างกายของเราจะปล่อยอินซูลิน เพื่อที่ขับน้ำตาลออกจากเลือดไปยังเซลล์ เพื่อใช้ในการให้พลังงาน

กระบวนการดังกล่าวนี้ ก็เป็นกระบวนการทั่วๆ ไปของร่างกาย แต่ถ้าหากเราบริโภคน้ำตาลมากเกินไปเมื่อไหร่ กระบวนการเก็บสะสมไขมันก็จะทำงานมากขึ้น ยิ่งร่างกายสร้างอินซูลินมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสะสมไขมันมากขึ้น นานวันเข้า ก็พัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหิน โรคไต รวมทั้งโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตันด้วย
การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลสกัด จะทำให้ระบบการย่อยดูดซึมอาหารของเราเปลี่ยนไป การอักเสบเกิดขึ้นได้ง่าย และนำไปสู่โรคร้ายหลายอย่าง Rachel Head นักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับโรคเบาหวาน บอกว่า มีการศึกษาพบความเกี่ยวพันของการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป กับการมีระดับไขมันเลือดผิดปกติ ความดันสูง โรคตับ โรคทางเดินอาหาร และโรคหัวใจ
เกลือ
มาดูผลเสียจากการบริโภคเกลือมากเกินไปกันบ้าง แน่นอนว่า ร่างกายของเราต้องการเกลือ เพื่อการทำงานที่สมดุลของเซลล์ในร่างกาย แต่เกลือที่มากเกินไป ก็ส่งผลต่อร่างกายของเราได้เช่นกัน Kaleigh McMordie กล่าวว่า สำหรับคนที่มีสุขภาพดี การได้รับเกลือในปริมาณปานกลาง ถึงมากไปบ้าง ร่างกายของเราก็จัดการได้ แต่ถ้าหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างแน่นอน มีคำแนะนำว่า เราควรบริโภคเกลือให้น้อยกว่าวันละ 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชาเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่ จะบริโภคกันประมาณ 3,400 มิลลิกรัม ต่อวัน
เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า โซเดียม ทำให้เกิดภาวะความดันสูง การที่เราไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้นั้น นำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย รวมทั้งโรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และโรคไต Kaleigh McMordie กล่าวอีกว่า ร่างกายของคนบางคนก็มีความไวต่อเกลือมาก ยิ่งถ้าหากใครที่มีภาวะความดันสูง ก็ยิ่งต้องระวัง อาหารที่เรารับประทานตามร้านอาหารนั้น มีเกลือมาก นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยไขมัน และพลังงานสูง ดังนั้นหากสุขภาพของเราไม่แข็งแรง มีภาวะความดันโลหิตสูง ควรทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน




อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า หากเรารับประทานน้ำตาล และเกลือในปริมาณปกติ ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป ก็จะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้ามากเกินไป ต่อเนื่องยาวนาน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างแน่นอน ดังนั้น ในการจะบริโภคทั้งน้ำตาล และเกลือ เราต้องเช็คปริมาณที่เราทานในแต่ละวัน แต่ละมื้อ และให้ความสำคัญกับอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง เช่นธัญพืชไม่ขัดสี นม และผลไม้สดด้วย
 ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561

นักปั่นมีเฮ! ผลวิจัยอังกฤษ ชี้ "การปั่นจักรยาน" ช่วยชะลอวัยได้


เเมื่อผลวิจัยชิ้นล่าสุด จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม เผยบทความการแพทย์ Aging Cell ซึ่งพบความพิเศษทางร่ายกายของผู้ที่รักการปั่นจักรยาน
ทีมวิจัยได้ตรวจสอบสภาพร่างกายของผู้ที่ปั่นจักรยานเพื่อการออกกำลังกาย 125 คน ที่มีอายุระหว่าง 55-79 ปี ให้นักปั่นจักรยานชาย ปั่นจักรยานเป็นระยะทาง 100 กิโลเมตร ในเวลา 6 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนผู้หญิงให้ปั่นจักรยาน 60 กิโลเมตร ในเวลา 5 ชั่วโมงครึ่ง และมาเปรียบเทียบกับคนวัยผู้ใหญ่ อายุ 57-80 ปี และวัยหนุ่มสาว อายุตั้งแต่ 20-36 ปี ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ปรากฏว่า ผู้ที่ปั่นจักรยานเป็นประจำ จะรักษาสภาพกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของร่ายกายไว้ได้มากกว่า รวมทั้งมีระดับไขมัน และคอเลสเตอรอลคงที่สม่ำเสมอ
และพิเศษกว่านั้น คือ นักปั่นที่สูงอายุจะมีระบบภูมิคุ้มกันเหมือนคนหนุ่มสาวได้ ซึ่งทำลายความเชื่อเดิมที่ว่า เมื่อเราแก่ตัวลง ร่างกายก็จะร่วงโรยตามวัย
ศาสตราจารย์ เจเน็ต ลอร์ด ผู้อำนวยการสถาบันที่เชี่ยวชาญด้านภาวะอักเสบ และการเสื่อมสภาวะของร่างกาย จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ชี้ว่า ผู้สูงอายุที่ปั่นจักรยานเป็นประจำ มีปริมาณ T-Cell หรือ เซลล์ภูมิคุ้มกันโรค ที่ผลิตจากต่อมไทมัส เทียบเท่ากับคนหนุ่มสาว ทั้งที่ต่อมไทมัสจะเริ่มหดตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น และจะเริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป

มีการวิจัยมากมายที่ชูคุณประโยชน์ของการปั่นจักรยาน หนึ่งในการออกกำลังกาย ที่ถือเป็นยาวิเศษของมนุษย์มายาวนาน โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่ผู้คนมักจะนั่งอยู่กับที่เป็นส่วนใหญ่
บทความการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมเมื่อเดือนเมษายนปีก่อน พบว่า ผู้ที่ปั่นจักรยานเป็นประจำวัน จะลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้มากกว่าร้อยละ 40 และลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ราวร้อยละ 45
การปั่นจักรยาน ยังส่งผลดีต่อสังคมในวงกว้าง จากรายงานขององค์กรการกุศล Sustrans ประเมินว่า หากชาวอังกฤษหันมาเดินและปั่นจักรยานตามนโยบายของรัฐบาลได้ จะช่วยประหยัดงบประมาณรัฐได้ถึง 9,300 ล้านปอนด์ หรือราว 4 แสนล้านบาท และลดอัตราการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศได้ถึง 13,000 คน ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
ที่มา:sanook